เมื่อเรารู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า ไม่เพียงแต่จิตใจเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่สุขภาพผิวก็เช่นกัน จากรายงานของ American Academy of Dermatology พบว่า ความเครียดสามารถกระตุ้นให้เกิดหรือทำให้อาการของโรคผิวหนังแย่ลงได้ เช่น
ในภาวะเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนและสารเคมีที่ส่งผลต่อการอักเสบในผิวหนัง เช่น neuropeptides ที่กระตุ้นการเกิดสิว ผื่น หรือปัญหาผิวอื่น ๆ นอกจากนี้ ความเครียดยังทำให้เราละเลยการดูแลผิว เช่น ล้างหน้าไม่สะอาด นอนน้อย หรือเผลอเกา ขยี้ใบหน้าซ้ำจนผิวระคายเคืองมากขึ้น
In a 2008 study designed to measure the positive ripple effects of botulinum toxin injections on other aspects of patients’ lives, researchers found that patients treated with botulinum toxin experienced measurable benefits. The key findings included:
จากงานวิจัยปี 2008 ที่ศึกษาผลของการฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (Botulinum Toxin) ในกลุ่มอาสาสมัคร พบว่าผู้เข้าร่วมบางส่วนรายงานว่าระดับความเครียดลดลง รู้สึกผ่อนคลายขึ้น และมองโลกในแง่ดีขึ้นตามสัดส่วนที่ระบุ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์นี้สะท้อนจากกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นเหมือนกันทุกคน
แม้ผลของหัตถการจะช่วยเรื่องภาพลักษณ์ แต่ไม่ใช่ทางออกเดียว การจัดการความเครียดอย่างยั่งยืนร่วมด้วยคือหัวใจสำคัญ
สุขภาพผิวคือภาพสะท้อนของสุขภาพจิต ความเครียดไม่ได้มีผลแค่ความรู้สึก แต่ยังส่งผลถึงผิวของเราโดยตรง หากคุณเผชิญปัญหาผิวที่กำเริบหรือรักษาไม่หาย ลองกลับมาสำรวจสุขภาพใจของตนเองด้วยนะคะ
เขียนบทความโดย
นพ. วุฒินันท์ สิทธิผลวนิชกุล (Wutinan Sithipolvanichgul, M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39678
ความเครียดสามารถกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่สัมพันธ์กับการอักเสบและการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้าได้ จึงอาจทำให้สิวขึ้นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มีแนวโน้มเป็นสิว หรือกำลังมีสิวอยู่เดิม อาการสิวอุดตันและสิวอักเสบก็อาจเห็นชัดขึ้นในช่วงที่มีความเครียดสะสม
มีความเกี่ยวข้องกันพอสมควร ทั้งจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปเมื่อเครียด และจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนตามอารมณ์ เช่น เกา แกะ แคะผิวมากขึ้น ในโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคสะเก็ดเงิน ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือผื่นลมพิษ พบว่าช่วงที่มีความเครียดสะสม อาการอาจกำเริบหรือเป็นมากขึ้นได้
ในหลายกรณี เมื่อร่างกายและจิตใจอยู่ในภาวะสมดุล ระดับฮอร์โมน ความดันโลหิต การนอนหลับ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตมักดีขึ้นร่วมกัน ผิวจึงมีโอกาสฟื้นฟูตัวเอง ลดการอักเสบและการระคายเคืองได้ดีขึ้น และอาจช่วยให้การรักษาปัญหาผิวที่มีอยู่ดูเหมือนตอบสนองได้ดีขึ้นในบางราย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไปตามสภาพผิวและปัจจัยอื่นของแต่ละคน
ความเครียดอาจสัมพันธ์กับการกำเริบของโรคผิวหนังบางกลุ่ม เช่น สิว ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน ผื่นลมพิษ รวมถึงอาการคันที่ไม่มีรอยโรคชัดเจนในบางราย ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุเดียว แต่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้อาการเดิมที่มีอยู่ชัดขึ้นหรือเรื้อรังมากขึ้น
การนอนหลับไม่เพียงพอจากความเครียดสะสม อาจทำให้ผิวดูหมอง คล้ำง่าย มีถุงใต้ตา และฟื้นตัวจากการอักเสบได้ช้าลง นอกจากนี้ยังอาจทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดต่อเนื่อง ส่งผลให้สิวหรือผื่นบางชนิดกำเริบได้ง่าย การให้ความสำคัญกับคุณภาพการนอนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพผิวควบคู่กันไป
อาจเริ่มจากการจัดตารางพักผ่อนให้เหมาะสม ฝึกผ่อนคลายด้วยวิธีที่ทำได้ในชีวิตประจำวัน เช่น เดินเล่น ฟังเพลง หายใจลึก ๆ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยเบี่ยงเบนความคิดด้านลบ ควบคู่กับการดูแลผิวตามขั้นตอนพื้นฐาน เช่น ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน บำรุงให้ชุ่มชื้น และปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ หากอาการผิวไม่ดีขึ้นหรือตึงเครียดต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์ หรือบุคลากรที่ดูแลด้านสุขภาพจิตเพิ่มเติม
การออกกำลังกายสม่ำเสมอในระดับที่เหมาะกับร่างกายอาจช่วยลดความตึงเครียด ปรับสมดุลฮอร์โมนและการไหลเวียนเลือด ซึ่งมีส่วนสนับสนุนให้ผิวแลดูสดใสขึ้นในบางคน อย่างไรก็ตาม ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม ดูแลความสะอาดผิวหลังออกกำลังกาย และไม่คาดหวังผลเฉพาะที่ผิวอย่างเดียว แต่มองเป็นการดูแลสุขภาพโดยรวม
หากมีผื่น คัน สิว หรือรอยโรคบนผิวที่เป็นเรื้อรัง เป็นซ้ำ ๆ หรือมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นอนไม่หลับ เครียดมาก ไม่กล้าใช้ชีวิตสังคม แม้จะพยายามดูแลตัวเองแล้ว แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจประเมินสภาพผิว และพูดคุยถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น การนอน ความเครียด การใช้ยา หรือโรคประจำตัว เพื่อวางแผนการดูแลร่วมกันให้เหมาะกับแต่ละคน
การจัดการความเครียดเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการรักษาปัญหาผิวให้มีแนวโน้มดีขึ้นได้ แต่ไม่ได้ทดแทนการรักษาด้วยยาในกรณีที่มีโรคผิวหนังชัดเจน ในหลายกรณีอาจต้องใช้ทั้งการรักษาทางการแพทย์ควบคู่กับการดูแลสุขภาพจิตและการปรับพฤติกรรม จึงอาจทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นในบางคน ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพผิว โรคประจำตัว และปัจจัยอื่น ๆ ของแต่ละคน ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนปรับลดยาหรือหยุดยาเอง
แนะนำให้หลีกเลี่ยงการแกะสิว เกาผิวแรง ๆ นอนดึกเป็นประจำ ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป และการส่องกระจกซ้ำ ๆ ในช่วงที่เครียดจนทำให้รู้สึกไม่ดีต่อภาพลักษณ์ตัวเองมากขึ้น การให้เวลาแก่ตัวเองในการพักผ่อน พูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ หรือขอคำปรึกษาจากบุคลากรทางด้านสุขภาพจิต เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยดูแลทั้งความเครียดและสุขภาพผิวไปพร้อมกัน
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล ผู้ที่มีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทุกครั้งก่อนตัดสินใจรับการรักษา