มอยเจอร์ไรเซอร์ (moisturizer) คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับทาให้ความชุ่มชื้นกับผิว ประกอบด้วยสารหลายชนิด ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในผิวหนัง โดยการลดการระเหยออกสู่ภายนอก และทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมให้ผิวชั้นบนมีการซ่อมแซมตัวเอง เสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว (skin barrier) สารเหล่านี้ มีทั้งที่สร้างได้เองตามธรรมชาติ เช่น lipid, sterols และที่ถูกสังเคราะห์ได้
จากชั้นหนังแท้มาสู่ชั้นหนังกำพร้า เมื่อความชื้นในบรรยากาศสูงกว่า 70% สาร humectants จึงจะสามารถดึงดูดน้ำเข้ามาสู่ผิวหนังได้ สารกลุ่มนี้เชื่อว่ามีความสามารถเทียบเท่ากับ natural moisturizing factor สารที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่ urea, glycerin, AHA, propylene glycol, sodium PCA, sorbitol, ammonium lactate, butylene glycol, honey extract, sodium lactate, pyrrolidone carboxylic acid, gelatin, hyaluronic acid, วิตามินและโปรตีนบางชนิด ผลข้างเคียงคือเกิดการระคายเคืองได้
โดยใช้สารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันปิดไว้ที่ผิวชั้นนอก ผิวชั้นบนสุดจึงได้ความชุ่มชื้นจากชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ สารที่ใช้บ่อยได้แก่ hydrocarbon oils/waxes (mineral oil, paraffin, petrolatum, squalene), silicone (cyclomethicone, dimethicone), vegetable oils (castor oil, corn oil, grape seed oil, soybean oil), animal oils (mink oil, emu oil), fatty acids (lanolin acid, stearic acid), fatty alcohol (lanolin alcohol, cetyl alcohol), wax esters (beeswax, stearyl stearate), vegetable waxes (carnauba wax, candelilla wax), phospholipids (lecithin), sterols (cholesterol, ceramides), polyhydric alcohols (propylene glycol dioleate), caprylic/capric triglyceride โดยทั่วไป petrolatum ถือเป็นสารที่ช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้มาก เมื่อใช้ในความเข้มข้นและวิธีใช้ที่เหมาะสม จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าสามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม สารเหล่านี้จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อทาในขณะที่ผิวยังชุ่มชื้นอยู่ คือหลังจากอาบน้ำภายใน 2-5 นาที แต่มักจะค่อนข้างเหนียวเหนอะหนะ มีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดการอักเสบรอบขน (folliculitis) และ lanolin อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือผื่นแพ้สัมผัส
ทำให้ผิวดูเรียบ ลื่น อ่อนนุ่มขึ้น แต่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าสารกลุ่มอื่น สารที่ใช้บ่อยได้แก่ cyclomethicone, dimethicone copolyol, glyceryl sterates, isopropyl palmitate, lanolin, propylene glycol linoleate, cholesterol, squalene, fatty acid
สารกลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ได้แก่ tocopherols, ascorbic acid สารบางชนิดเช่น citric acid, tartaric acid, ส่วน EDTA นั้น ไม่ได้ใส่เพื่อหวังผลในการต้านอนุมูลอิสระเป็นหลักแต่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของส่วนประกอบอื่น สารอื่น ๆ ที่ใช้บ่อยได้แก่ butylated hydroxytoluene (BHT), glycosphingolipids, hyaluronic acid, lactic acid, retinol, salicylic acid, allantoin
ข้อมูลโดย พญ.ไพลิน พวงเพชร สถาบันโรคผิวหนัง
http://dst.or.th/html/index.php?op=article-detail&id=918&csid=11&cid=23#.WFdW4FOLSUk
เขียนบทความโดย
พญ.วิภาณี อัครภูษิต (Wipanee Akarapusit M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39676
มอยเจอร์ไรเซอร์คือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยรักษาระดับความชุ่มชื้นในชั้นผิว ลดการสูญเสียน้ำ และช่วยให้เกราะป้องกันผิวทำงานได้สมดุลขึ้น เมื่อผิวชุ่มชื้นพอ จะดูไม่แห้งลอกตึง ลดโอกาสระคายเคือง และช่วยให้สกินแคร์ตัวอื่นทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จำเป็น เพราะแม้ผิวมันก็สามารถ “ขาดน้ำ” ได้ หากผิวขาดน้ำ ร่างกายมักตอบสนองด้วยการผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ทำให้ยิ่งรู้สึกหน้ามัน การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เนื้อบางเบา เหมาะกับผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่าย จะช่วยปรับสมดุลความชุ่มชื้น และอาจช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินได้ในระยะยาว
ควรใช้ทั้งเช้าและก่อนนอน หลังล้างหน้าและเช็ดผิวให้แห้งเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ เพราะผิวจะสูญเสียน้ำได้ง่ายในช่วงนี้ การทามอยเจอร์ไรเซอร์ช่วย “ล็อก” ความชุ่มชื้นไว้ในผิว และเป็นฐานให้สกินแคร์หรือครีมกันแดดขั้นตอนถัดไปทำงานได้ดีขึ้น
มอยเจอร์ไรเซอร์คือครีมบำรุงผิวประเภทหนึ่งที่เน้นการให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก ส่วนครีมบำรุงผิวในภาพรวมอาจมีสารออกฤทธิ์เสริมอื่น ๆ เช่น กลุ่มลดเลือนริ้วรอย ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส หรือช่วยลดรอยต่าง ๆ ร่วมด้วย การเลือกใช้จึงขึ้นกับว่า “เป้าหมายหลัก” คือเพิ่มความชุ่มชื้น หรือต้องการฟังก์ชันเพิ่มเติมอื่น ๆ
ผิวมัน / ผิวเป็นสิวง่าย: เลือกเนื้อเจลหรือโลชั่นบางเบา ระบุว่าไม่อุดตันรูขุมขน
ผิวแห้ง: เลือกเนื้อครีมที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นและไขมันดีเพิ่มขึ้น
ผิวผสม: ใช้เนื้อบางเบาในช่วงทีโซน และเนื้อเข้มข้นขึ้นเล็กน้อยบริเวณที่แห้ง
อ่านฉลากส่วนผสมร่วมกับสังเกตผิวตัวเอง จะช่วยให้เลือกได้แม่นยำขึ้น
ใช้ได้ และมักจำเป็น เพราะการรักษาสิวหลายชนิดมีผลทำให้ผิวแห้งลง หากไม่เสริมความชุ่มชื้น อาจทำให้ผิวระคายเคือง ลอก แสบตึง และสิวบางประเภทกลับเห่อได้ง่าย มอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวควรเนื้อบางเบา ไม่อุดตันรูขุมขน และใช้ร่วมกับยาทารักษาสิวภายใต้คำแนะนำของแพทย์
ควรเลือกสูตรที่ออกแบบมาสำหรับผิวระคายเคืองง่าย หลีกเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารระคายเคืองบางชนิด เนื้อผลิตภัณฑ์ควรเรียบ เนียน ไม่รู้สึกแสบเมื่อทา ถ้าเริ่มใช้ตัวใหม่ แนะนำทดลองทาที่กรามหรือหลังใบหูก่อน ใช้ติดต่อกัน 2–3 วัน แล้วสังเกตอาการ หากไม่มีผื่นแดงหรือคัน จึงค่อยใช้ทั่วใบหน้า
โดยทั่วไปมักใช้หลักการ “บางไปข้น”
ล้างหน้า → 2) ทายา/เซรั่มเนื้อเหลว → 3) ปิดท้ายด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
กรณีที่แพทย์ให้ยาทาบางชนิดเฉพาะจุด อาจต้องทาตามขั้นตอนที่แพทย์แนะนำเป็นพิเศษ เช่น ยาทาสิวก่อน แล้วตามด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ไม่รบกวนฤทธิ์ยา
ขึ้นอยู่กับเนื้อผลิตภัณฑ์และขนาดใบหน้า แต่โดยทั่วไป ปริมาณประมาณ 1 ข้อนิ้วหรือเทียบเท่าเมล็ดถั่ว 1–2 เมล็ดมักเพียงพอสำหรับทาทั่วหน้าและลำคอบาง ๆ หากทาแล้วรู้สึกเหนอะหนะมาก หรือเป็นคราบเมกอัปลอกง่าย อาจหมายถึงใช้เยอะเกินไป ควรลดปริมาณลงเล็กน้อย
ควรหยุดใช้ตัวที่สงสัยชั่วคราว แล้วสังเกตอาการ 1–2 สัปดาห์ หากสิวหรือผื่นดีขึ้น มีโอกาสที่ผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่เหมาะกับผิวของตนเอง อาจลองปรับไปใช้เนื้อที่บางลง หรือลดจำนวนสกินแคร์ที่ทาซ้อนกันหลายชั้น หากยังมีสิวหรือผื่นเห่อเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและยาที่ใช้อยู่ร่วมด้วย
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์หรือใช้แทนการพบแพทย์ หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพผิวหรือหนังศีรษะ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง