Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
สาเหตุของฝ้า

ฝ้าคืออะไร สาเหตุของฝ้า เกิดจากอะไร?

ฝ้า (Melasma) คือ ภาวะความผิดปกติของการกระจายเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดรอยคล้ำหรือปื้นสีน้ำตาลเข้มบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่สัมผัสแสงแดดบ่อย เช่น แก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก ฝ้ามักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยทำงาน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ขณะตั้งครรภ์ หรือใช้ยาคุมกำเนิด

โดยทั่วไป ฝ้ามักจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงอายุระหว่าง 20-40 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายมีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด นอกจากนี้ ฝ้ายังพบได้บ่อยในกลุ่มคนที่มีผิวสีคล้ำ เช่น คนในทวีปเอเชีย ละตินอเมริกา และตะวันออกกลาง เนื่องจากผิวที่มีเมลานินมากกว่ามีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด หรือฮอร์โมนได้ไวและรุนแรงกว่า ส่งผลให้เกิดฝ้าได้ง่ายและชัดเจนมากขึ้น การป้องกันและดูแลจึงต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด

สาเหตุของฝ้ามีอะไรบ้าง?

มาเข้าใจสาเหตุการเกิดฝ้าแบบง่าย ๆ เพื่อการดูแลผิวที่ถูกวิธี สำหรับการป้องกันการเกิดฝ้าและลดโอกาสที่ฝ้าจะเข้มขึ้น “การดูแลผิวไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้น ง่ายกว่าการรักษาฝ้าที่หนาเข้ม

สาเหตุของฝ้า

1. แสงแดด

แสงแดดทำให้เกิดฝ้าแดด ซึ่งเป็นปัญหาที่พบมากในคนไทย โดยเฉพาะรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า รังสี UVA สามารถทะลุผ่านเมฆและกระจกลงลึกถึงชั้นหนังแท้ กระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ให้ผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้นเพื่อปกป้องผิวจากความเสียหาย เมลานินนี้ทำหน้าที่ดูดซับรังสี UV แต่เมื่อได้รับแสงแดดมากเกินไป การผลิตเม็ดสีจะมากผิดปกติและกระจายไม่สม่ำเสมอ ทำให้เกิดรอยคล้ำหรือฝ้าได้ รังสี UVB แม้จะไม่ลึกเท่า UVA แต่ก็ทำให้ผิวอักเสบและกระตุ้นเม็ดสีเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน ฝ้าเกิดจากกลไกป้องกันผิวที่ตอบสนองมากเกินไปในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ฮอร์โมนหรือพันธุกรรม นอกจากนี้ แสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ การปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดจึงเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันฝ้าไม่ให้เกิดหรือเข้มขึ้น

ฝ้าฮอร์โมน

2. ฮอร์โมนเพศหญิงที่มีการเปลี่ยนแปลง

ฮอร์โมนเพศหญิง เช่น เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanocytes) โดยฮอร์โมนเหล่านี้จะเพิ่มการหลั่งโปรตีน MITF (Microphthalmia-Associated Transcription Factor) ซึ่งเป็นตัวควบคุมกระบวนการสร้างเม็ดสีโดยตรง ส่งผลให้ผิวผลิตเมลานินมากขึ้นและเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น

ฝ้ามักพบในช่วงที่ระดับฮอร์โมนเพศหญิงเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เช่น

  • ตั้งครรภ์ ร่างกายมีฮอร์โมนสูงมาก ฝ้าจึงเกิดขึ้นชั่วคราวและมักจางลงหลังคลอด

  • การใช้ยาคุมกำเนิด ซึ่งมีฮอร์โมนรวม อาจกระตุ้นการสร้างเม็ดสีในบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรม

  • วัยหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ระบบควบคุมเม็ดสีผิวเปลี่ยนแปลง และเพิ่มโอกาสเกิดฝ้าได้

สาเหตุของฝ้า

3. เครื่องสำอางบางชนิดที่ทำให้ผิวอักเสบ

เครื่องสำอางบางชนิด โดยเฉพาะครีมหน้าใสที่มีส่วนผสมของสารเคมีอันตราย เช่น สเตียรอยด์ สารปรอท ไฮโดรควิโนน หรือสารกันบูด อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ง่าย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ฝ้าเกิดหรือผิวแย่ลง สารเหล่านี้อาจทำให้ผิวขาว เรียบเนียนในช่วงแรก แต่เมื่อใช้ต่อเนื่องไปนานๆ จะทำให้ผิวบางลง เกิดอาการแพ้ง่าย และเมื่อหยุดใช้ ฝ้าจะกลับมาเข้มขึ้น พร้อมกับมีเส้นเลือดฝอยขึ้นบนผิวหน้า ทำให้หน้าแดงและดูไม่เรียบเนียน ฝ้าชนิดนี้รักษาค่อนข้างยากเนื่องจากผิวเกิดการอักเสบและระคายเคือง จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจสอบส่วนประกอบ และไม่มีสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือมีความเสี่ยงต่อผิว 

สาเหตุของฝ้า

4. เลเซอร์บางประเภท ทำให้ฝ้าเข้มขึ้น

หลังทำเลเซอร์ ฝ้าอาจเข้มขึ้นได้เนื่องจากความร้อนและการอักเสบที่เกิดขึ้นในผิวหนัง กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเมลานินมากขึ้น (Hyperpigmentation) โดยเฉพาะหากใช้พลังงานเลเซอร์สูงเกินไปหรือเลเซอร์ชนิดไม่เหมาะสมกับสภาพผิว การสะสมความร้อนใต้ผิวหนังยังทำให้เม็ดสีเข้มขึ้นมากกว่าปกติ

การดูแลผิวหลังเลเซอร์จึงสำคัญมาก หากไม่หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือไม่ทาครีมกันแดดอย่างเหมาะสม ผิวจะไวต่อแสงและเกิดการกระตุ้นเม็ดสีซ้ำจนฝ้าเข้มขึ้น หรือเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) ฝ้าชนิดนี้ก็รักษายากกว่าฝ้าฮอร์โมนและฝ้าแดด แนะนำให้ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจรักษา

ฝ้าหลังเลเซอร์มักจางลงในช่วงแรก แต่ถ้าหยุดทำหรือดูแลไม่ดี ฝ้าจะกลับมาเข้มขึ้นและรักษายากกว่าเดิม การเลือกใช้เลเซอร์ที่เหมาะสมและการดูแลผิวอย่างต่อเนื่องโดยแพทย์ที่มีความเข้าใจในการตั้งค่าพลังงานเลเซอร์จึงจำเป็นเพื่อป้องกันผลข้างเคียงและเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและให้ผลลัพธ์สอดคล้องกับแผนการรักษาที่วางร่วมกัน

สาเหตุของฝ้า

5. ความเครียด

ความเครียดส่งผลต่อการเกิดฝ้าได้หลายทาง เมื่อร่างกายเผชิญกับความเครียด จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซต์) ให้ผลิตเมลานินมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าหรือทำให้ฝ้าเข้มขึ้น นอกจากนี้ ความเครียดยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ผิวเกิดการอักเสบและสร้างเม็ดสีส่วนเกินได้ง่ายขึ้น

ความเครียดยังเพิ่มการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งทำลายเซลล์ผิวและกระตุ้นการผลิตเมลานินมากขึ้น รวมถึงทำให้ผิวไวต่อแสงและเกิดการระคายเคืองง่ายขึ้น นอกจากนี้ ความเครียดยังส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมนและกระบวนการซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวแห้งกร้านและเกิดริ้วรอยได้ง่าย

สรุปดูแลฝ้าอย่างเข้าใจ เพื่อผิวที่ดีขึ้นในระยะยาว

ฝ้าไม่ใช่เพียงปัญหาผิว แต่เป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงความไม่สมดุลของปัจจัยหลายอย่างในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน แสงแดด ความเครียด หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน การดูแลฝ้าให้เห็นผล เพื่อให้ฝ้าจางลง และช่วยเพิ่มความมั่นใจให้คุณมากขึ้น ไม่ควรพึ่งเพียงแค่ครีมหรือเลเซอร์เพียงอย่างเดียว แต่ควรมองอย่างองค์รวม ทั้งการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น แสงแดด ความเครียด การพักผ่อน และดูแลสุขภาพจากภายใน

หากคุณเริ่มต้นจากการเข้าใจที่สาเหตุของฝ้า และเลือกวิธีดูแลที่สอดคล้องกับสภาพผิวของตัวเอง จะช่วยให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น และลดโอกาสการกลับมาของฝ้าได้ในระยะยาว

สาเหตุของฝ้า

รักษาฝ้าที่สาเหตุ แนวทางของ BSL

ฝ้าที่พบได้บ่อยมักไม่ใช่ฝ้าชนิดเดียว แต่เป็น “ฝ้าแบบผสม” ที่มีทั้งฝ้าตื้น (อยู่บริเวณชั้นหนังกำพร้า) และฝ้าลึก (อยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้) หรือบางฝ้ามีเส้นเลือดฝอยผสมด้วย ซึ่งการดูแลจึงจำเป็นต้องใช้แนวทางที่ช่วยผสมผสานกัน ไม่ใช่แค่เน้นเพียงผิวชั้นนอก หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง

แนวทางของ BSL Clinic เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้าอย่างรอบด้าน เช่น

  • พฤติกรรมที่อาจกระตุ้นฝ้า
  • ฮอร์โมน ความเครียด การพักผ่อน
  • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว
  • การใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ที่โฟกัสเฉพาะจุด เช่น เลเซอร์ลดเม็ดสี เลเซอร์ดึงเม็ดสี เลเซอร์ฟื้นฟูผิวแข็งแรง เลเซอร์ฝ้าเส้นเลือด

ซึ่งแพทย์จะประเมินลักษณะฝ้าและเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล เพื่อช่วยลดโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาเข้มขึ้น และให้คุณมั่นใจขึ้นกับผิวที่กระจ่างใส

สาเหตุของฝ้า

โปรแกรมรักษาฝ้า *ใช้เป็นตัวอย่างผลจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย

ฝ้าแดด

โปรแกรมรักษาฝ้า *ใช้เป็นตัวอย่างผลจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย

ฝ้าแดด

โปรแกรมรักษาฝ้า *ใช้เป็นตัวอย่างผลจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย

ฝ้าแดด

โปรแกรมรักษาฝ้า *ใช้เป็นตัวอย่างผลจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย

เขียนบทความโดย

พญ.วิภาณี อัครภูษิต (Wipanee Akarapusit M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic  เลขว. 39676

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสาเหตุของฝ้าและการดูแลฝ้า

ฝ้ามักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น แสงแดดและรังสี UV ฮอร์โมนบางชนิด (เช่น ช่วงตั้งครรภ์หรือทานยาคุมกำเนิด) พันธุกรรม การอักเสบของผิวจากสิวหรือการแพ้ผลิตภัณฑ์บางชนิด รวมถึงการใช้ยาบางกลุ่มที่ทำให้ผิวไวต่อแสง การเข้าใจสาเหตุของฝ้าในแต่ละคนช่วยให้วางแผนการดูแลและป้องกันได้ตรงจุดมากขึ้น

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาฝ้าที่ทำให้ฝ้าหายขาดถาวร แต่สามารถดูแลให้ฝ้าจางลง ระดับสีผิวดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้นได้ เมื่อใช้วิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิว ร่วมกับการป้องกันแสงแดดอย่างจริงจัง และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ฝ้าที่เกิดจากการใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์บางชนิด มักสัมพันธ์กับส่วนผสมที่ทำให้ผิวบางลง ไวต่อแสง หรือระคายเคืองง่าย หากใช้ต่อเนื่องโดยไม่มีการประเมิน อาจทำให้โครงสร้างผิวเสียสมดุล มีรอยดำ รอยคล้ำ หรือฝ้าชัดขึ้นได้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมที่ไม่ทราบส่วนผสมชัดเจน หรือครีมที่อวดอ้างเกินจริง และเลือกใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์จะเหมาะสมกว่า

ไม่เสมอไป การใช้เลเซอร์รักษาฝ้าควรผ่านการประเมินสภาพผิว สีผิว ชนิดของฝ้า และพฤติกรรมการใช้ชีวิตแต่ละคนก่อน ผู้ที่มีสีผิวเข้มหรือมีประวัติเป็นรอยดำง่ายหลังทำหัตถการ อาจต้องเลือกประเภทเลเซอร์ พลังงาน และความถี่ในการรักษาแตกต่างจากคนอื่น การวางแผนจึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีความรู้เรื่องเม็ดสีและการใช้เลเซอร์ร่วมกัน

แม้จะทาครีมกันแดดทุกวัน แต่ถ้าใช้ปริมาณไม่เพียงพอ ทาซ้ำไม่บ่อยพอเมื่อเจอแดดจัด หรือเลือกค่า SPF/PA ไม่เหมาะกับกิจกรรม แสงแดดและรังสี UV ยังสามารถกระตุ้นเม็ดสีได้ นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น เช่น ฮอร์โมน ความร้อนจากเตา/เครื่องอบไอน้ำ แสงจากจอ หรือการอักเสบของผิวยังมีส่วนทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้เช่นกัน

ฝ้ามักเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือเทาอมน้ำตาล กระจายบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก หรือขมับ ส่วนกระมักเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลกระจาย และรอยดำจากสิวจะตามหลังสิวอักเสบแต่ละเม็ด ความลึกของเม็ดสีและสาเหตุของแต่ละปัญหาต่างกัน วิธีการดูแลและเลือกเครื่องมือรักษาจึงไม่เหมือนกัน

ฝ้าที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนหรือกรรมพันธุ์มักมีแนวโน้มเป็นเรื้อรัง และกลับมาเข้มขึ้นได้ง่ายหากยังมีปัจจัยเดิมอยู่ จึงมักต้องใช้ทั้งการรักษาให้ฝ้าจางลง และการดูแลต่อเนื่องระยะยาว (maintenance) เช่น การป้องกันแสงแดดสม่ำเสมอ การใช้ยาทาหรือครีมบำรุงตามคำแนะนำ การควบคุมฮอร์โมนในบางกรณี การสื่อสารกับแพทย์เรื่องความคาดหวังและระยะเวลาจึงสำคัญมาก

ยังสามารถวางแผนการดูแลฝ้าได้ แต่อาจต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันแสงแดดมากเป็นพิเศษ เช่น เลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับผิว ทาซ้ำระหว่างวัน ใส่หมวก/ใช้ร่ม หรือสวมอุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ ร่วมด้วย แพทย์อาจเลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เช่น เว้นระยะเลเซอร์ให้สัมพันธ์กับช่วงที่หลบแดดได้มากขึ้น หรือเน้นการใช้ยาทาและครีมบำรุงบางชนิดร่วมกัน

การดูแลตัวเองที่บ้านมีผลมากต่อการควบคุมฝ้า เช่น

  • ทาครีมกันแดดทุกวันและทาซ้ำเมื่อจำเป็น

  • เลือกสกินแคร์ที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวระคายเคือง

  • หลีกเลี่ยงการสครับหน้าแรง ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวบางเกินไป

  • ดูแลเรื่องการนอนพักผ่อน อาหาร และการจัดการความเครียด
    เมื่อผิวได้รับการป้องกันและบำรุงอย่างเหมาะสม การรักษาฝ้ามักเห็นผลชัดเจนและอยู่ได้นานขึ้น

ควรเตรียมข้อมูลและพฤติกรรมเกี่ยวกับผิว เช่น

  • ประวัติการเป็นฝ้า ระยะเวลาที่เริ่มสังเกตเห็น

  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ (ครีมบำรุง กันแดด เมกอัป)

  • ประวัติการแพ้ครีมหรือเคยใช้ครีมที่ทำให้ผิวบางมาก่อน

  • รูปถ่ายในแสงธรรมชาติที่เห็นฝ้าชัดเจน
    ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้แพทย์ประเมินสาเหตุของฝ้า วางแผนการรักษา และอธิบายแนวทางดูแลในระยะยาวได้เหมาะกับแต่ละคนมากขึ้น

ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล
การตัดสินใจรับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง โดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินสภาพผิวเป็นรายบุคคล

หากมีฝ้าบนใบหน้าและยังไม่แน่ใจว่าสาเหตุหลักมาจากแสงแดด ฮอร์โมน หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ สามารถส่งรูปผิวหน้าและเล่าพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การออกแดด การใช้ครีม และยาที่รับประทาน เพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินแนวทางการดูแลฝ้าเบื้องต้นได้ที่