การฉีดสิวด้วยยากลุ่มสเตียรอยด์สามารถช่วยระงับความรุนแรงของการอักเสบได้ แต่ไม่ใช่วิธีรักษาสิวที่เหมาะสมกับผิวในระยะยาว สเตียรอยด์มักช่วยลดอาการได้ดีในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หากฉีดสิวโดยไม่จำเป็น หรือฉีดบ่อยเกินไป สิวอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายขึ้น การเลือกสถานพยาบาลสำหรับฉีดสิว รวมถึงการคำนวณปริมาณและความเข้มข้นของยาที่ใช้ฉีดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากฉีดสเตียรอยด์ที่เข้มข้นมากเกินไป อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดรอยบุ๋มได้ แม้รอยบุ๋มส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ตื้นขึ้นเองภายในประมาณ 1–2 เดือน แต่ก็เป็นสิ่งที่หลาย ๆ ท่านควรทราบก่อนตัดสินใจฉีดสิว หากต้องการ รักษาสิวอักเสบ ในภาพรวมอย่างเป็นขั้นตอน มักใช้การฉีดสิวเป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกท้าย ๆ ร่วมกับวิธีดูแลสิวจากสาเหตุอื่น ๆ ไม่ได้แก้ปัญหาสิวที่ต้นเหตุเพียงอย่างเดียว
เพราะไม่ใช่สิวทุกประเภทจะฉีดได้ ลักษณะสิวที่ควรฉีด คือ
1.สิวอักเสบที่บวมแดง ไม่มีหัว
2.สิวที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ใต้ผิวหนัง
3.สิวที่ไม่ตอบสนองต่อการดูแลทั่วไปและมีแนวโน้มทิ้งรอยแผลเป็น
4.การฉีดสิวควรทำโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อประเมินลักษณะสิว และเลือกวิธีที่เหมาะสมต่อสิวและสภาพผิวของแต่ละคน
โดยทั่วไป สารที่ใช้ฉีดสิว คือ สารที่ช่วยลดการอักเสบ หรือ ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ความเข้มข้นต่ำ โดยจะออกฤทธิ์ลดการอักเสบของสิว เมื่อฉีดเข้าไปสิวที่อักเสบอยู่ ก็จะไม่บวมมากขึ้น แล้วค่อย ๆ ยุบลงไปเอง แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และไม่บ่อยจนเกินไป เพื่อป้องกันผลข้างเคียงในระยะยาว
ควรพิจารณาใช้วิธีฉีดสิวในกรณีที่สิวมีลักษณะอักเสบรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการดูแลทั่วไป การฉีดควรทำโดยแพทย์ที่มีความรู้ ความเข้าใจในการรักษาสิวให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน เพื่อให้ผิวของคุณได้รับการดูแลที่เหมาะสม คงสภาพผิวที่สุขภาพดีในระยะยาว
การฉีดสิวด้วยสเตียรอยด์สามารถระงับความรุนแรงของการอักเสบของสิวได้ แต่ไม่ใช่การรักษาสิวที่เหมาะสมกับผิว และดีต่อสภาพผิวในระยะยาว สเตียรอยด์จะช่วยดูแลสิวได้ผลดี เพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ เพราะการฉีดสิวที่ไม่จำเป็น หากฉีดบ่อยมากเท่าไหร่นั้นก็จะยิ่งทำให้สิวขึ้นง่ายมากขึ้นเท่านั้น การเลือกคลินิกหรือสถานที่ฉีดสิว และการคำนวณปริมาณสารที่ใช้ฉีด เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ หากฉีดสเตียรอยด์ที่เข้มข้นมากไป ก็อาจทำให้เนื้อเกิดรอยบุ๋มบริเวณที่ฉีดได้ ถึงแม้รอยบุ๋มนั้นสามารถตื้นขึ้นได้เองแต่ต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน จึงเป็นสิ่งที่หลายๆ ท่านควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดสิว หากไม่จำเป็นจริงๆ การฉีดสิวจึงเป็นอีกทางเลือกสุดท้าย เพราะวิธีนี้ไม่ใช่การรักษาสิวที่สาเหตุของการเกิดสิวนั่นเอง
เขียนบทความโดย
พญ.วิภาณี อัครภูษิต (Wipanee Akarapusit M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39676
การฉีดสิวเหมาะกับสิวที่มีการอักเสบและบวมแดง โดยทั่วไปมักใช้กับ
สิวอักเสบเม็ดใหญ่ กดแล้วเจ็บ บวมแดงชัดเจน
สิวหัวช้าง / สิวหัวใหญ่ที่มีโอกาสทิ้งรอย หรือเสี่ยงเป็นหลุมสิว
สิวที่เริ่มยุบช้า ทั้งที่ทายาและดูแลมาระยะหนึ่งแล้ว
กรณีที่ต้องการให้เม็ดสิวอักเสบลดลงเร็วขึ้นก่อนมีนัดสำคัญ
ส่วนสิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวผด หรือสิวที่ยังไม่อักเสบ มักไม่แนะนำให้ฉีด แต่เน้นการปรับสกินแคร์และการรักษาตามสาเหตุของสิวแต่ละคนแทน
หลังฉีดสิว ส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นว่าเม็ดสิวค่อย ๆ แฟบลงภายในประมาณ 1–3 วัน
วันแรก–วันที่ 2 : ก้อนสิวมักนุ่มลง แดงน้อยลง
ภายใน 3–7 วัน : ขนาดสิวอาจเล็กลงชัดเจนและเริ่มแห้ง
รอยแดงหรือรอยดำหลังสิวอาจค่อย ๆ จางลงต่อเนื่องอีกหลายสัปดาห์ ขึ้นกับสภาพผิวและการดูแลร่วมด้วย
หากผ่านไปหลายวันแล้วยังมีอาการบวม แดง เจ็บมากขึ้น หรือมีอาการผิดปกติ ควรกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินเพิ่มเติม
การฉีดสิวเป็นเพียงการลดอาการอักเสบเฉพาะจุดชั่วคราว ช่วยให้สิวเม็ดนั้นยุบเร็วขึ้น แต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุของสิว เช่น ฮอร์โมน การอุดตันของรูขุมขน หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนั้นยังมีโอกาสเกิดสิวใหม่หรือสิวซ้ำได้ หากยังมีปัจจัยกระตุ้นเดิม ๆ อยู่
การฉีดสิวบ่อยเกินไป หรือฉีดซ้ำบริเวณเดิมในช่วงเวลาสั้น ๆ อาจทำให้ผิวเกิดไตแข็ง ใต้ผิวเป็นรอยบุ๋ม หรือผิวบางลงได้ จึงไม่ควรฉีดสิวทุกเม็ดหรือฉีดบ่อยโดยไม่จำเป็น ควรให้แพทย์ประเมินทีละตำแหน่งว่าเม็ดไหนควรฉีด และเว้นระยะการฉีดแต่ละครั้งให้เหมาะสมกับผิว
ส่วนใหญ่การฉีดสิวจะใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ความเข้มข้นต่ำ ที่มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของสิว ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น แต่ต้องใช้โดยแพทย์เท่านั้น เพราะหากใช้ความเข้มข้นหรือปริมาณไม่เหมาะสม อาจเสี่ยงทำให้ผิวบาง มีไตแข็ง หรือรอยบุ๋มตามมาได้
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ผิวบางลงชั่วคราว ใต้ผิวเกิดไตแข็ง หรือมีรอยบุ๋มเล็ก ๆ ในตำแหน่งที่ฉีด โดยเฉพาะหากใช้ยาที่เข้มข้นเกินไปหรือฉีดบ่อยเกินความจำเป็น ดังนั้นก่อนฉีดสิวควรให้แพทย์อธิบายถึงประโยชน์ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และวิธีดูแลผิวหลังฉีดทุกครั้ง
รอยบุ๋มหลังฉีดสิวส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองได้ในช่วงประมาณ 1–2 เดือน เนื่องจากเนื้อเยื่อใต้ผิวมีการฟื้นตัว แต่หากรู้สึกว่ารอยบุ๋มชัดขึ้น ไม่ดีขึ้นตามเวลา หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ควรกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินเพิ่มเติม และวางแผนการดูแลให้เหมาะกับแต่ละเคส
การฉีดสิวเป็นการใช้ตัวยาลดการอักเสบฉีดเข้าไปในสิวที่บวมแดงหรือเป็นก้อน ช่วยให้สิวอักเสบยุบเร็วขึ้น ส่วนการกดสิวเป็นการนำหัวสิวหรือสิวอุดตันออกจากรูขุมขน เหมาะกับสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือสิวอุดตันบางประเภท ในการรักษาสิวจริง ๆ มักใช้ทั้งการกดสิวและฉีดสิวร่วมกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของสิวและดุลยพินิจของแพทย์
ในบางเคส แพทย์อาจพิจารณาปรับยาทาบริเวณสิวอักเสบ เพิ่มยากินบางชนิด หรือใช้ทรีตเมนต์/เลเซอร์บางชนิดร่วมด้วยแทนการฉีดสิว ขึ้นอยู่กับขนาดและความรุนแรงของสิว รวมถึงระยะเวลาที่ต้องการให้สิวยุบก่อนถึงวันสำคัญ ควรเข้ามาปรึกษาเพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินว่ากรณีของคุณเหมาะกับการฉีดสิวจริง ๆ หรือไม่
ก่อนเข้ามาปรึกษาเรื่องฉีดสิว แนะนำให้จดหรือถ่ายรูปยาทา ยากิน และสกินแคร์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน สังเกตว่ามักมีสิวอักเสบขึ้นช่วงไหนบ่อยเป็นพิเศษ เช่น ช่วงนอนดึก เครียด หรือช่วงรอบเดือน และหลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิวเองในวันก่อนพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์เห็นลักษณะสิวจริงและประเมินได้ตรงกับสภาพผิวของคุณมากที่สุด
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล
การตัดสินใจรับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง โดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินสภาพผิวเป็นรายบุคคล