โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata) คือภาวะที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันผิดปกติ โดยระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าไปโจมตีเซลล์รากผม ทำให้ผมหลุดร่วงเป็นหย่อมหรือเป็นวงกลมขนาดเล็กบนหนังศีรษะ หรืออาจเกิดที่บริเวณอื่นของร่างกายที่มีขน โรคนี้พบได้ในทั้งเพศชายและหญิง ทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ตอนต้นหรือวัยทำงาน สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าปัจจัยทางพันธุกรรม ความเครียด และโรคภูมิคุ้มกันอื่น ๆ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้โรคนี้จะไม่อันตรายต่อสุขภาพโดยตรง แต่สามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและสภาพจิตใจได้มาก อาการเด่นคือผมร่วงเป็นหย่อม ผิวหนังบริเวณนั้นจะเรียบเนียน ไม่มีอาการอักเสบหรือแผล ในบางรายผมอาจงอกกลับมาได้เอง แต่ในบางกรณีอาจต้องได้รับการประเมินและดูแลโดยแพทย์ผิวหนัง
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่เชื่อว่ากระบวนการผมร่วงเกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการต่อต้านบริเวณรากผม ส่งผลให้เกิดผมร่วงตามมา ปัจจัยประกอบอื่น ๆ พบว่า พันธุกรรมอาจมีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค นอกจากนี้ยังพบว่าโรคมักเกิดร่วมกับโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านตนเอง เช่น โรคไทรอยด์, โรคด่างขาว โรคเอสแอลอี (SLE) เป็นต้น
พบได้ ประมาณร้อยละ 1 ของประชากร
โรคนี้พบได้ในผู้ป่วยทุกเพศ ทุกวัย
ผมร่วงจะมีลักษณะเป็นหย่อม ๆ รูปร่างกลมหรือรี มีขอบเขตชัดเจน อาจมีหย่อมเดียวหรือหลายหย่อม บางครั้งหย่อมผมร่วงอาจรวมกันจนลามทั่วศีรษะ ตำแหน่งของผมร่วงส่วนใหญ่เป็นที่ศีรษะ แต่สามารถพบได้ในตำแหน่งอื่นที่มีขนได้แก่ บริเวณหนวด เครา รักแร้ และหัวหน่าว ผิวหนังบริเวณผมร่วงจะมีลักษณะปกติ อาจพบเส้นผมลักษณะเส้นสั้น ๆ บริเวณโคนผมเรียวเล็กลงคล้ายเครื่องหมายอัศเจรีย์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่พบในโรคผมร่วงเป็นหย่อม ในระยะที่โรคกำเริบเส้นผมบริเวณรอบ ๆ รอยโรคสามารถดึงหลุดออกได้ง่าย นอกจากนี้อาจจะพบความผิดปกติของเล็บร่วมด้วย เช่น เป็นหลุมเล็ก ๆ บนแผ่นเล็บ หรือนูนเป็นสันตามยาวของเล็บ
โดยทั่วไปสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย ยกเว้นในรายที่มีลักษณะไม่ชัดเจน หรือมีอาการทางระบบอื่นร่วมด้วย อาจต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจหาเชื้อราด้วยการขูดขุย, เจาะเลือดเพื่อตรวจการติดเชื้อซิฟิลิส, การทำงานของต่อมไทรอยด์, ตรวจหาโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เป็นต้น ในบางรายอาจต้องยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตัดชิ้นเนื้อ
วินิจฉัยแยกจากโรคผมร่วงในซิฟิลิสระยะที่สอง, โรคเชื้อราที่หนังศีรษะ และโรคดึงผมตนเอง
การรักษาเริ่มต้นโดยใช้ยาทาที่ยับยั้งการอักเสบ เช่น ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ ทาบริเวณที่มีรอยโรค วันละ 2 ครั้ง หรือในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าบริเวณรอยโรค โดยมักทำทุก 4 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และระดับความรุนแรงของโรค ในรายที่มีอาการมาก แพทย์อาจพิจารณาใช้ยารับประทานโดยประเมินจากความเหมาะสมและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น หากการตอบสนองต่อการรักษาไม่ชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มอื่น เช่น Anthralin หรือ Diphenylcyclopropenone (DCP) ซึ่งเป็นยาที่ใช้เฉพาะในโรคผิวหนังบางชนิด ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ในบางรายที่มีผมร่วงหรือผมบางในบริเวณอื่นร่วมด้วย อาจพิจารณาแนวทางการดูแลเพิ่มเติมใน โปรแกรมรักษา ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน ควบคู่กับการติดตามอาการกับแพทย์
ผู้ป่วยส่วนใหญ่โรคจะหายเองได้ภายใน 1 ปี แต่อาจกลับเป็นซ้ำได้ถึงร้อยละ 50 ผู้ป่วยบางรายโรคอาจลุกลามจนเป็นทั่วศีรษะ (alopecia totalis) หรือเป็นทุกบริเวณของร่างกาย (alopecia universalis) ในผู้ป่วยที่มีเล็บผิดปกติ, มีระยะการเป็นโรคมานาน, โรคกลับเป็นซ้ำหลายครั้ง, มีผมร่วงเป็นบริเวณกว้างบนศีรษะ, เริ่มเป็นโรคตั้งแต่อายุน้อย, ตำแหน่งผมร่วงเป็นบริเวณแนวของไรผมและเป็นโรคภูมิแพ้ จะมีพยากรณ์โรคไม่ดี
โรคนี้อาจหายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องรักษาทุกราย แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามและตรวจหาโรคที่อาจพบร่วม นอกจากนี้ผู้ป่วยควรเข้าใจการดำเนินโรคว่า อาจกลับมาเป็นซ้ำได้ทั้งในบริเวณเดิมหรือบริเวณอื่น ในช่วงรับการรักษาผู้ป่วยสามารถใช้วิกผมในระหว่างที่รอผลการรักษาหรือมีอาการผมร่วงมากได้
อ้างอิงบทความโดย :
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
นพ. พูลเกียรติ สุชนวณิช หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
เขียนบทความโดย
นพ. วุฒินันท์ สิทธิผลวนิชกุล (Wutinan Sithipolvanichgul, M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39678
โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata) เป็นภาวะที่ผมร่วงเป็นวงหรือเป็นหย่อม ๆ บนหนังศีรษะ หรือบริเวณอื่นของร่างกายที่มีขน เช่น หนวด เครา คิ้ว ขนตา โดยผิวหนังบริเวณที่ผมร่วงจะดูเรียบ ไม่เป็นแผล ไม่ลอกเป็นขุย และมักไม่มีอาการเจ็บหรือคันมากในช่วงแรก
สันนิษฐานว่าเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานผิดปกติ ไปทำลายรากผมจนรากผมอ่อนแอและหยุดสร้างเส้นผม นอกจากนี้อาจสัมพันธ์กับพันธุกรรม และบางรายพบร่วมกับโรคภูมิต้านตนเองชนิดอื่น เช่น โรคไทรอยด์บางประเภท หรือโรคผิวหนังบางชนิด
โรคผมร่วงเป็นหย่อมไม่ใช่โรคติดต่อ จึงไม่ได้แพร่กระจายจากการใช้หวี หมวก หมอน หรือการอยู่ใกล้คนอื่น สาเหตุหลักไม่ได้มาจากเชื้อราหรือเชื้อโรคที่แพร่จากคนสู่คน แต่เป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันและปัจจัยภายในร่างกายมากกว่า
ระยะเวลาการรักษาแตกต่างกันในแต่ละคน โดยในหลายกรณีสามารถเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของเส้นผมใหม่ภายในประมาณ 3–6 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรง จำนวนหย่อมที่ผมร่วง ระยะเวลาที่เริ่มเป็น และวิธีการรักษาที่ใช้ บางรายอาจต้องติดตามผลต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานกว่านั้น
ในหลายราย ผมสามารถงอกกลับมาใหม่ได้หลังได้รับการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง แต่รูปแบบการงอกอาจแตกต่างกัน เช่น เส้นผมใหม่อาจขึ้นเป็นเส้นบางหรือสีอ่อนช่วงแรก ก่อนค่อย ๆ กลับมาใกล้เคียงเดิม ภาวะนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต โดยเฉพาะในผู้ที่เคยมีผมร่วงหลายหย่อม หรือมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างร่วมด้วย
หากพบผมร่วงเป็นหย่อมอย่างชัดเจน และไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ หรือพบหลายหย่อมในเวลาใกล้เคียงกัน ควรเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย แยกจากสาเหตุอื่น เช่น เชื้อรา การดึงผมเองเป็นนิสัย หรือโรคผิวหนังชนิดอื่น รวมถึงประเมินว่ามีภาวะทางร่างกายหรือโรคอื่นร่วมด้วยหรือไม่
ในหลายรายพบว่าเครียดสะสม พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีเหตุการณ์กระทบจิตใจรุนแรงในช่วงก่อนเริ่มผมร่วงเป็นหย่อม อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยร่วมที่กระตุ้นให้โรคกำเริบหรือร่วงมากขึ้นได้ แม้จะไม่ใช่สาเหตุเดียว การจัดการความเครียด ร่วมกับการดูแลสุขภาพทั่วไปจึงเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลภาพรวมของโรคนี้
แนวทางดูแลตัวเอง เช่น
ใช้แชมพูและผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีรษะที่อ่อนโยน
หลีกเลี่ยงการดึงผม มัดผมแน่น หรือถักแน่นเกินไป
ลดการใช้สารเคมีรุนแรง เช่น การดัด ย้อม ยืดผม ในช่วงที่ผมอ่อนแอ
ดูแลเรื่องการพักผ่อน อาหาร และการจัดการความเครียด
การดูแลเหล่านี้ช่วยเสริมให้การรักษาที่แพทย์วางแผนให้เห็นผลได้ชัดเจนและสม่ำเสมอขึ้น
โรคผมร่วงเป็นหย่อมสามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ในเด็กอาจสังเกตจากการมีหย่อมผมร่วงชัดเจนบนหนังศีรษะ โดยผิวหนังเรียบ ไม่มีสะเก็ดลอกมากผิดปกติ หากพ่อแม่หรือผู้ปกครองสังเกตเห็นความผิดปกติเช่นนี้ ควรพามาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและเริ่มวางแผนการดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
แนะนำให้
จดช่วงเวลาที่เริ่มสังเกตเห็นผมร่วงเป็นหย่อม และบริเวณที่เป็น
ถ่ายรูปหนังศีรษะในมุมต่าง ๆ เก็บไว้เปรียบเทียบ
เตรียมข้อมูลโรคประจำตัว ยาที่รับประทานเป็นประจำ และประวัติในครอบครัวว่ามีผมร่วงลักษณะคล้ายกันหรือไม่
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้แพทย์วิเคราะห์สาเหตุและวางแผนการรักษาได้ละเอียดและเหมาะสมมากขึ้น
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์หรือใช้แทนการพบแพทย์ หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพผิวหรือหนังศีรษะ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง