Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
แพ้เครื่องสำอาง

แพ้เครื่องสำอาง มีสาเหตุจากอะไร อาการเป็นอย่างไร และวิธีรับมือง่ายๆ

การแพ้เครื่องสำอาง คืออะไร? การแพ้เครื่องสำอาง (Cosmetic Allergy) คือ เป็นภาวะที่เกิดจากการสัมผัสสารบางชนิดในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำหอม สารกันเสีย หรือสารให้ความชุ่มชื้น แล้วเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบของ ผื่น คัน บวม แดง หรือ อาการระคายเคืองผิว อาการแพ้นี้สามารถพบได้ในกลุ่มเครื่องสำอางทั่วๆ ไป เช่น ครีมบำรุง สบู่ ครีมกันแดด หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง หรือผิวมีแนวโน้มแพ้ง่าย

หน้าเป็นผื่นแพ้เครื่องสำอาง

เครื่องสำอางที่นิยมใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว (Skin Care Products)
  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care Products)
  • ผลิตภัณฑ์กันแดด (Sun Protective Products)
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม (Hair Care Products)
  • ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย (Deodorants)

ก่อนจะเลือกใช้เครื่องสำอาง อย่าลืมมองให้มากกว่าเรื่องความสวยงาม

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไม่ใช่แค่ดูที่ผลลัพธ์จากการโฆษณาชวนซื้อ หรือเพียงแพ็คเกจสวยๆ เท่านั้น แต่ควรเลือกจากแบรนด์ที่มีขั้นตอนการผลิตที่น่าเชื่อถือ และเหมาะกับสภาพผิวของคุณ เพราะผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากเลือกผิด อาจเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือมีอาการแพ้ได้ง่าย ดังนั้นการรู้จักผิวตัวเองและอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อทุกครั้ง เป็นสิ่งสำคัญมาก

ระคายเคืองจากการแพ้เครื่องสำอาง

อาการระคายเคือง (Irritant contact dermatitis)

อาการระคายเคือง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยจะมีอาการแห้ง ตึง แดง และคันบริเวณผิวหนัง กรณีที่รุนแรงผิวอาจไหม้ได้ ปัจจุบันไม่ค่อยพบปัญหานี้ เนื่องจากเครื่องสำอางที่ผลิตในปัจจุบัน ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองมากเท่าในสมัยก่อน แต่อาจพบบ้างในกรณีเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการรับรองคุณภาพ กรณีอาการแพ้เฉพาะสารบางชนิดที่มีอยู่ในเครื่องสำอาง หรือเรียกว่า การแพ้สารสัมผัส (Allergic contact dermatitis) ประกอบด้วยอาการผื่น แดง หรือ บวมและคัน หากอาการรุนแรงอาจมีน้ำเหลืองไหล ซึ่งจะปรากฏอาการอย่างชัดเจน เมื่อใช้เครื่องสำอางไปได้ระยะหนึ่ง ลักษณะอาการแพ้เครื่องสำอางอาจคล้ายกับการแพ้สารเคมีชนิดอื่นๆ จึงอาจทำให้เกิดความสับสนได้

อาการรระคายเคืองจากการแพ้เครื่องสำอาง

วิธีสังเกตง่ายๆ เมื่อมีอาการแพ้

  • อาการปวดแสบร้อน แดง คัน มักเกิดหลังการใช้เครื่องสำอาง ประมาณ 2 วัน เมื่อหยุดใช้ อาการมักหายไปเอง ส่วนอาการคัน มีผื่นแดงเล็กน้อยจนถึงกรณีรุนแรงเป็นตุ่มน้ำ บริเวณที่พบบ่อยครั้งคือบริเวณ รอบดวงตา เนื่องจากผิวมีความบอบบางมากกว่าบริเวณอื่น
  • อาการผื่น ลมพิษ และผื่นบวมแดง กรณีที่อาการไม่รุนแรงอาจมีอาการบวมเฉพาะที่ได้ เช่น บริเวณหนังตา แต่หากอาการรุนแรง อาจพบผื่นบวมทั่วใบหน้าและอาจมีผลต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินหายใจ มีอาการหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก เป็นต้น
  • เกิดรอยขาว ทำให้สีผิวบนใบหน้าไม่สม่ำเสมอ บางครั้งอาจเกิดรอยด่างขาวแบบถาวร ซึ่งเกิดเนื่องจากการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) หรือจากการใช้ เครื่องสำอางที่ทำให้หน้าขาว ซึ่งปัจจุบันห้ามใช้ในเครื่องสำอาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้มีประกาศให้ ไฮโดรควิโนนเป็น สารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง เนื่องจากอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหนัง เช่น การระคายเคือง ผิวไวต่อแสง และอาจก่อให้เกิดรอยด่างถาวร ยังสามารถใช้ในเวชภัณฑ์ได้ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เช่น ครีมรักษาฝ้าในกลุ่มยาทา โดยมีปริมาณความเข้มข้นและการควบคุมการใช้ตามคำแนะนำของแพทย์
  • เกิดผื่นดำ เนื่องจากหลังการใช้เครื่องสำอางแล้วผิวต้องสัมผัสกับแสงแดด ทำให้สารที่ผสมอยู่ เกิดปฏิกิริยากับแสง และเกิดเป็นรอยดำบนผิวหนัง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมของน้ำหอม
  • การเปลี่ยนแปลงของผมและเล็บ โดยหักและเปราะง่าย สาเหตุเนื่องจากสารเคมีในน้ำยาเปลี่ยนสีผม น้ำยาดัดผม หรือน้ำยาทาเล็บ
  • การเกิดสิว ไม่ใช่อาการแพ้ที่แท้จริง แต่เป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อใช้เครื่องสำอางไปนานๆ สารที่มีส่วนผสมของน้ำมัน อาจทำให้เกิดสิว เช่น ลาโนลิน (Lanolin) IPM และ Mineral Oil เป็นต้น
อาการแพ้เครื่องสำอาง

เครื่องสำอางประเภทต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการแพ้ สามารถจำแนกได้ดังนี้

1.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เช่น สบู่ ครีมหรือเจล สำหรับทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกาย โดยเฉพาะสบู่ประเภทที่มีสารระงับกลิ่นกาย มักทำให้เกิดผื่นแพ้ เนื่องจากมีส่วนผสมของสารกันเสียและน้ำหอม

คัน ขึ้นผื่น แพ้เครื่องสำอาง

2.ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงสุขภาพผิว ได้แก่ โลชั่นสมานผิว (Astringents) มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizers) โลชั่นสมานผิว (Astringents) หรือ โทนเนอร์ (Toner) ใช้เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนหลังการล้างหน้า สารประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้คือ แอลกอฮอล์ และกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid)  อาการที่พบเมื่อเกิดอาการแพ้ เช่น ระคายเคือง ผิวหนังแดง คัน แสบหรือมีรอยไหม้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizers)  สารประกอบหลักในมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ มีตุ่มแดง คัน เช่น โพรพิลีนไกลคอล โปรตีน วิตามินบางชนิด อาการแพ้พบบ่อยเกิดเนื่องจากลาโนลิน

ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ทำให้มีอาการแพ้เครื่องสำอาง

3.ผลิตภัณฑ์กันแดด การแพ้ผลิตภัณฑ์กันแดดอาจเกิดเนื่องจากการแพ้สารกันแดดโดยตรง หรืออาจเกิดการแพ้เมื่อสารกันแดดทำปฏิกิริยากับแสง สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้บ่อย คือสารกลุ่ม PABA (para-aminobenzoic acid) ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้แล้วและออกซี-เบนโซน (Oxybenzone) นอกจากนี้อาจแพ้สารกันเสียหรือสีที่เป็นส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์

อาการแพ้ยาสระผม

4.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลเส้นผม เช่น แชมพูและครีมนวด มักมีสารก่อฟองที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการคันและเป็นผื่นแดงที่หนังศีรษะ เช่น สารกลุ่มโซเดียมและแอมโมเนียมลอรีลซัลเฟต (Sodium and ammonium lauryl sulfate)

แพ้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย

5.ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย มักทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ เนื่องจากส่วนผสมของน้ำหอม หรือเกลือของอลูมิเนียม นอกจากนี้ เครื่องสำอางที่มีสี เช่น อายแชโดว์ บลัชออน หรือลิปสติก อาจทำให้เกิดอาการอักเสบ แดง และคัน บนบริเวณที่ใช้ เนื่องจากมีส่วนผสมของสี น้ำหอม และสารที่ทำให้เกิดความมันวาวต่าง ๆ

สารประเภทใด ที่เป็นสาเหตุหลักของการแพ้เครื่องสำอาง

สารประเภทใด ที่เป็นสาเหตุหลักของการแพ้เครื่องสำอาง

น้ำหอม (Fragrance) เป็นสาเหตุของอาการแพ้ที่พบบ่อยที่สุด ควรอ่านและทำความเข้าใจข้อความบนฉลากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางก่อนการเลือกซื้อทุกครั้ง เช่น ฉลากที่ระบุว่า Unscented หมายความว่า ผลิตภัณฑ์นั้นปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม Hypo-allergenic fragrances หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของน้ำหอม แต่มีโอกาสเกิดการแพ้ได้น้อย

สารกันเสีย (Preservatives) เป็นสาเหตุของอาการแพ้ที่พบได้บ่อยรองลงมา โดยปกติผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมักเพิ่มส่วนผสมของสารกันเสียเพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ผิวหนัง อีกทั้งป้องกันการเสื่อมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยไม่ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือแสงสว่าง สารกันเสียที่ผสมในเครื่องสำอาง เช่น พาราเบน (Paraben) อิมิดาโซลิดินิล ยูเรีย (Imidazolidinyl urea) ควอเทอร์เนียม 15 (Quaternium-15) ดีเอ็มดีเอ็มไฮแดนโทอิน (DMDM hydantoin) พีนอกซี เอทานอล (Phenoxy ethanol) เมทิลคลอโรไอโซไทอะโซลิโนน (Methylchloroisothiazolinone) และ ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) เป็นต้น อาการแพ้ที่เกิดจากสารเฉพาะตัวสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารกันเสียด้วย

ทำอย่างไรเมื่อสงสัยว่าแพ้เครื่องสำอาง

ทำอย่างไรเมื่อสงสัยว่าแพ้เครื่องสำอาง

  • อาการเริ่มภายใน 48 ชั่วโมงหลังใช้ผลิตภัณฑ์ แนะนำให้หยุดใช้เครื่องสำอางที่สงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุของการแพ้ หากอาการดีขึ้น แสดงว่าเครื่องสำอางนั้น เป็น สาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ วิธีพิสูจน์ง่ายๆ ว่าเครื่องสำอางตัวนั้นทำให้เกิดอาการแพ้หรือไม่ ให้ทาที่บริเวณท้องแขนติดต่อกัน 2 วัน ถ้ามีผื่นขึ้นแสดงว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดนั้น

  • ทดสอบด้วยวิธี Patch test แพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้ทดสอบ โดยพิจารณาสารเคมีที่เป็นส่วนผสมอยู่ใน เครื่องสำอางในระดับความเข้มข้นที่เหมาะสมเพื่อนำมาทดสอบ การแพ้ที่ผิวหนังบริเวณหลังหรือแขน โดยปกติใช้เวลา 2 วัน ในการอ่านผลครั้งแรก และอีก 2 วัน ในการอ่านผลครั้งต่อไป ถ้ามีอาการผื่น แดงปรากฏบริเวณที่ทดสอบแสดงว่าสารนั้นเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ทั้งนี้ เมื่อเกิดอาการแพ้ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อปรึกษาและรับการรักษาที่ถูกต้อง

วิธีป้องกันและดูแลเบื้องต้น หากกังวลเรื่องการแพ้เครื่องสำอาง

วิธีป้องกันและดูแลเบื้องต้น หากกังวลเรื่องการแพ้เครื่องสำอาง

1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า ไม่มีน้ำหอม หรือ ออกแบบมาเพื่อผู้ที่มีแนวโน้มระคายเคืองง่าย

น้ำหอมเป็นหนึ่งในสารที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุว่า Fragrance-Free หรือ For Sensitive Skin ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการระคายเคืองลงได้มาก

2. หลีกเลี่ยงสารระคายเคืองที่พบบ่อย

สารกันเสีย สีสังเคราะห์ แอลกอฮอล์บางชนิด หรือกรดผลไม้เข้มข้น (เช่น AHA, BHA) แม้จะพบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายประเภท แต่ในบางคนอาจทำให้เกิดผื่น คัน แดง หรือผิวลอกได้ หากเคยมีประวัติระคายเคืองจากสารเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงทันที

3. ทดสอบผลิตภัณฑ์กับผิวก่อนใช้งานจริง

ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรทดสอบโดยการแต้มเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขนหรือหลังใบหู และสังเกตผิวอย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง หากไม่มีอาการผิดปกติ เช่น คัน แดง หรือแสบผิว ก็สามารถใช้งานต่อได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

4. หากมีอาการแพ้ ควรหยุดใช้ทันทีและปรึกษาแพทย์

หากมีอาการผิวแดง คัน ผื่น หรือมีการลอกเป็นขุย ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันที และปรึกษาแพทย์ด้านการดูแลผิว เพื่อประเมินอาการและแนะนำแนวทางการดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว

สรุป

อาการแพ้เครื่องสำอางไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง มีแนวโน้มของผิวแพ้ง่าย หรือใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดร่วมกัน การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม สี และสารกันเสียที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง รวมถึงการทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนใช้จริง เป็นวิธีป้องกันเบื้องต้นที่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก หากมีอาการผิดปกติ ควรหยุดใช้ทันทีและขอคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อการดูแลผิวที่ปลอดภัยและเหมาะสมในระยะยาว

เขียนบทความโดย

พญ.วิภาณี อัครภูษิต (Wipanee Akarapusit M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic  เลขว. 39676

คำถามที่พบบ่อยเมื่อสงสัยว่าแพ้เครื่องสำอาง

การแพ้เครื่องสำอางส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับส่วนผสมบางชนิดในผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำหอม สารกันเสีย สี สารกันแดด หรือสารออกฤทธิ์บางตัว โดยเฉพาะในคนที่มีผิวบอบบาง หรือมีพื้นฐานเป็นผิวที่มีแนวโน้มแพ้ง่าย ผิวจึงตอบสนองต่อสารเหล่านี้ด้วยอาการผื่นแดง คัน แสบ ลอก หรือน้ำเหลืองซึม

แม้ใช้ครีมเดิมมานานก็ยังสามารถเริ่มแพ้เครื่องสำอางตัวเดิมได้ เช่น

  • ผู้ผลิตปรับสูตรโดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ

  • ผิวสะสมสารบางอย่างจนเกินขีดที่รับไหว

  • ผิวไวขึ้นจากอายุ ฮอร์โมน สุขภาพ หรือการใช้ยาบางชนิด

  • ครีมใกล้หมดอายุหรือมีการปนเปื้อนเชื้อโรค
    ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผิวที่เคยรับได้ เริ่มเกิดอาการแพ้ตามมาในภายหลัง

เบื้องต้นแนะนำให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยก่อน และสังเกตอาการผิว 1–2 สัปดาห์ หากผื่น คัน แดง ดีขึ้นเมื่อหยุดใช้ผลิตภัณฑ์บางตัว มีโอกาสสูงว่าตัวนั้นเป็นสาเหตุ วิธีที่แม่นยำมากขึ้น คือการปรึกษาแพทย์เพื่อทำการทดสอบแพ้ผิวหนัง (Patch Test) ซึ่งช่วยระบุสารก่อภูมิแพ้ในเครื่องสำอางได้อย่างชัดเจน

หากสามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างชัดเจน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารนั้นอย่างสม่ำเสมอ อาการแพ้เครื่องสำอางส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ดี ลดการกำเริบและความรุนแรงลงจนใกล้เคียงกับการหายขาดในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในบางรายที่มีผิวบอบบางหรือมีโรคผิวหนังพื้นฐานอยู่แล้ว อาจต้องดูแลระยะยาวและติดตามอาการเป็นช่วง ๆ ร่วมด้วย

ผิวระคายเคืองทั่วไปอาจเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่แรงเกินไป ล้างออกไม่หมด หรือใช้ผิดวิธี ทำให้ผิวแห้ง แดง แสบตึงชั่วคราว แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้โดยตรง ส่วนการแพ้เครื่องสำอางมักเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารบางชนิดด้วยการเกิดผื่นแดง คัน บวม หรือน้ำเหลือง และมักมีโอกาสเป็นซ้ำบริเวณเดิมเมื่อสัมผัสสารนั้นอีก

ในช่วงที่ผื่นกำเริบ แนะนำให้หยุดใช้เมกอัปและสกินแคร์ที่ไม่จำเป็นชั่วคราว เหลือเพียง

  • คลีนเซอร์อ่อนโยน

  • มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย

  • ครีมกันแดดสูตรสำหรับผิวบอบบาง

เมื่ออาการดีขึ้นจึงค่อยกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์อื่นทีละตัว และควรให้แพทย์ช่วยวางลำดับการเริ่มใช้ใหม่ เพื่อลดโอกาสแพ้ซ้ำ

สำหรับผิวแพ้ง่าย แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเหมาะสำหรับผิวบอบบาง หลีกเลี่ยงสารที่มักก่อให้เกิดการแพ้ เช่น น้ำหอม สีบางชนิด แอลกอฮอล์ และสารกันเสียบางประเภท ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทีละตัว ไม่เปลี่ยนหลายอย่างพร้อมกัน และหากมีประวัติแพ้ส่วนผสมใด ควรอ่านฉลากส่วนผสมทุกครั้งก่อนซื้อ

สามารถทดสอบโดยทาผลิตภัณฑ์บริเวณท้องแขนด้านในหรือหลังใบหูในปริมาณเล็กน้อย ติดต่อกัน 2 วัน แล้วสังเกตอาการ 48 ชั่วโมง หากมีผื่น คัน แดง แสบ หรือตึงผิดปกติ ไม่ควรนำผลิตภัณฑ์นั้นมาใช้บนใบหน้าหรือบริเวณกว้าง วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงการแพ้เครื่องสำอางบนจุดที่บอบบาง เช่น ผิวหน้าและรอบดวงตา

ในบางรายที่มีภูมิแพ้อื่นอยู่แล้ว เช่น แพ้อากาศ แพ้อาหาร หรือมีประวัติผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผิวอาจไวและมีแนวโน้มแพ้เครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีภูมิแพ้จะต้องแพ้เครื่องสำอางเสมอไป การซักประวัติและประเมินร่วมกับแพทย์ช่วยให้เข้าใจภาพรวมของภาวะแพ้แต่ละรายได้ชัดเจนขึ้น

แนะนำให้

  • นำผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำไปให้แพทย์ดู หรือถ่ายรูปฉลากส่วนผสม

  • จดช่วงเวลาที่เริ่มมีอาการ และตำแหน่งที่มีผื่น

  • ถ่ายรูปผื่นช่วงที่อาการชัดเจนเก็บไว้

  • แจ้งประวัติการแพ้อื่น ๆ ที่เคยมี

ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้แพทย์ประเมินสาเหตุการแพ้เครื่องสำอาง และวางแผนการดูแลผิวที่เหมาะสมได้ละเอียดมากขึ้น

ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ การตัดสินใจเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง โดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินสภาพผิวเป็นรายบุคคล

หากคุณสงสัยว่าแพ้เครื่องสำอาง หรือมีผื่นแดง คัน แสบทุกครั้งที่ลองสกินแคร์ใหม่ ๆ สามารถส่งรูปผื่นและรายการผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ได้ที่นี่