การแพ้เครื่องสำอาง คืออะไร? การแพ้เครื่องสำอาง (Cosmetic Allergy) คือ เป็นภาวะที่เกิดจากการสัมผัสสารบางชนิดในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำหอม สารกันเสีย หรือสารให้ความชุ่มชื้น แล้วเกิดปฏิกิริยาในรูปแบบของ ผื่น คัน บวม แดง หรือ อาการระคายเคืองผิว อาการแพ้นี้สามารถพบได้ในกลุ่มเครื่องสำอางทั่วๆ ไป เช่น ครีมบำรุง สบู่ ครีมกันแดด หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง หรือผิวมีแนวโน้มแพ้ง่าย
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไม่ใช่แค่ดูที่ผลลัพธ์จากการโฆษณาชวนซื้อ หรือเพียงแพ็คเกจสวยๆ เท่านั้น แต่ควรเลือกจากแบรนด์ที่มีขั้นตอนการผลิตที่น่าเชื่อถือ และเหมาะกับสภาพผิวของคุณ เพราะผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากเลือกผิด อาจเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือมีอาการแพ้ได้ง่าย ดังนั้นการรู้จักผิวตัวเองและอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อทุกครั้ง เป็นสิ่งสำคัญมาก
อาการระคายเคือง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยจะมีอาการแห้ง ตึง แดง และคันบริเวณผิวหนัง กรณีที่รุนแรงผิวอาจไหม้ได้ ปัจจุบันไม่ค่อยพบปัญหานี้ เนื่องจากเครื่องสำอางที่ผลิตในปัจจุบัน ไม่มีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองมากเท่าในสมัยก่อน แต่อาจพบบ้างในกรณีเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีการรับรองคุณภาพ กรณีอาการแพ้เฉพาะสารบางชนิดที่มีอยู่ในเครื่องสำอาง หรือเรียกว่า การแพ้สารสัมผัส (Allergic contact dermatitis) ประกอบด้วยอาการผื่น แดง หรือ บวมและคัน หากอาการรุนแรงอาจมีน้ำเหลืองไหล ซึ่งจะปรากฏอาการอย่างชัดเจน เมื่อใช้เครื่องสำอางไปได้ระยะหนึ่ง ลักษณะอาการแพ้เครื่องสำอางอาจคล้ายกับการแพ้สารเคมีชนิดอื่นๆ จึงอาจทำให้เกิดความสับสนได้
1.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เช่น สบู่ ครีมหรือเจล สำหรับทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกาย โดยเฉพาะสบู่ประเภทที่มีสารระงับกลิ่นกาย มักทำให้เกิดผื่นแพ้ เนื่องจากมีส่วนผสมของสารกันเสียและน้ำหอม
2.ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงสุขภาพผิว ได้แก่ โลชั่นสมานผิว (Astringents) มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizers) โลชั่นสมานผิว (Astringents) หรือ โทนเนอร์ (Toner) ใช้เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างในรูขุมขนหลังการล้างหน้า สารประกอบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้คือ แอลกอฮอล์ และกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) อาการที่พบเมื่อเกิดอาการแพ้ เช่น ระคายเคือง ผิวหนังแดง คัน แสบหรือมีรอยไหม้ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizers) สารประกอบหลักในมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ มีตุ่มแดง คัน เช่น โพรพิลีนไกลคอล โปรตีน วิตามินบางชนิด อาการแพ้พบบ่อยเกิดเนื่องจากลาโนลิน
3.ผลิตภัณฑ์กันแดด การแพ้ผลิตภัณฑ์กันแดดอาจเกิดเนื่องจากการแพ้สารกันแดดโดยตรง หรืออาจเกิดการแพ้เมื่อสารกันแดดทำปฏิกิริยากับแสง สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้บ่อย คือสารกลุ่ม PABA (para-aminobenzoic acid) ซึ่งปัจจุบันเลิกใช้แล้วและออกซี-เบนโซน (Oxybenzone) นอกจากนี้อาจแพ้สารกันเสียหรือสีที่เป็นส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์
4.ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลเส้นผม เช่น แชมพูและครีมนวด มักมีสารก่อฟองที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรืออาการคันและเป็นผื่นแดงที่หนังศีรษะ เช่น สารกลุ่มโซเดียมและแอมโมเนียมลอรีลซัลเฟต (Sodium and ammonium lauryl sulfate)
5.ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย มักทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ เนื่องจากส่วนผสมของน้ำหอม หรือเกลือของอลูมิเนียม นอกจากนี้ เครื่องสำอางที่มีสี เช่น อายแชโดว์ บลัชออน หรือลิปสติก อาจทำให้เกิดอาการอักเสบ แดง และคัน บนบริเวณที่ใช้ เนื่องจากมีส่วนผสมของสี น้ำหอม และสารที่ทำให้เกิดความมันวาวต่าง ๆ
น้ำหอม (Fragrance) เป็นสาเหตุของอาการแพ้ที่พบบ่อยที่สุด ควรอ่านและทำความเข้าใจข้อความบนฉลากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางก่อนการเลือกซื้อทุกครั้ง เช่น ฉลากที่ระบุว่า Unscented หมายความว่า ผลิตภัณฑ์นั้นปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม Hypo-allergenic fragrances หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของน้ำหอม แต่มีโอกาสเกิดการแพ้ได้น้อย
สารกันเสีย (Preservatives) เป็นสาเหตุของอาการแพ้ที่พบได้บ่อยรองลงมา โดยปกติผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมักเพิ่มส่วนผสมของสารกันเสียเพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ผิวหนัง อีกทั้งป้องกันการเสื่อมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยไม่ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนหรือแสงสว่าง สารกันเสียที่ผสมในเครื่องสำอาง เช่น พาราเบน (Paraben) อิมิดาโซลิดินิล ยูเรีย (Imidazolidinyl urea) ควอเทอร์เนียม 15 (Quaternium-15) ดีเอ็มดีเอ็มไฮแดนโทอิน (DMDM hydantoin) พีนอกซี เอทานอล (Phenoxy ethanol) เมทิลคลอโรไอโซไทอะโซลิโนน (Methylchloroisothiazolinone) และ ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) เป็นต้น อาการแพ้ที่เกิดจากสารเฉพาะตัวสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารกันเสียด้วย
อาการเริ่มภายใน 48 ชั่วโมงหลังใช้ผลิตภัณฑ์ แนะนำให้หยุดใช้เครื่องสำอางที่สงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุของการแพ้ หากอาการดีขึ้น แสดงว่าเครื่องสำอางนั้น เป็น สาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ วิธีพิสูจน์ง่ายๆ ว่าเครื่องสำอางตัวนั้นทำให้เกิดอาการแพ้หรือไม่ ให้ทาที่บริเวณท้องแขนติดต่อกัน 2 วัน ถ้ามีผื่นขึ้นแสดงว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดนั้น
ทดสอบด้วยวิธี Patch test แพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้ทดสอบ โดยพิจารณาสารเคมีที่เป็นส่วนผสมอยู่ใน เครื่องสำอางในระดับความเข้มข้นที่เหมาะสมเพื่อนำมาทดสอบ การแพ้ที่ผิวหนังบริเวณหลังหรือแขน โดยปกติใช้เวลา 2 วัน ในการอ่านผลครั้งแรก และอีก 2 วัน ในการอ่านผลครั้งต่อไป ถ้ามีอาการผื่น แดงปรากฏบริเวณที่ทดสอบแสดงว่าสารนั้นเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ทั้งนี้ เมื่อเกิดอาการแพ้ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อปรึกษาและรับการรักษาที่ถูกต้อง
1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า ไม่มีน้ำหอม หรือ ออกแบบมาเพื่อผู้ที่มีแนวโน้มระคายเคืองง่าย
น้ำหอมเป็นหนึ่งในสารที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้ได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบาง แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุว่า Fragrance-Free หรือ For Sensitive Skin ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการระคายเคืองลงได้มาก
2. หลีกเลี่ยงสารระคายเคืองที่พบบ่อย
สารกันเสีย สีสังเคราะห์ แอลกอฮอล์บางชนิด หรือกรดผลไม้เข้มข้น (เช่น AHA, BHA) แม้จะพบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายประเภท แต่ในบางคนอาจทำให้เกิดผื่น คัน แดง หรือผิวลอกได้ หากเคยมีประวัติระคายเคืองจากสารเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงทันที
3. ทดสอบผลิตภัณฑ์กับผิวก่อนใช้งานจริง
ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรทดสอบโดยการแต้มเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขนหรือหลังใบหู และสังเกตผิวอย่างน้อย 24–48 ชั่วโมง หากไม่มีอาการผิดปกติ เช่น คัน แดง หรือแสบผิว ก็สามารถใช้งานต่อได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
4. หากมีอาการแพ้ ควรหยุดใช้ทันทีและปรึกษาแพทย์
หากมีอาการผิวแดง คัน ผื่น หรือมีการลอกเป็นขุย ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันที และปรึกษาแพทย์ด้านการดูแลผิว เพื่อประเมินอาการและแนะนำแนวทางการดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
อาการแพ้เครื่องสำอางไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง มีแนวโน้มของผิวแพ้ง่าย หรือใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดร่วมกัน การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม สี และสารกันเสียที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง รวมถึงการทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนใช้จริง เป็นวิธีป้องกันเบื้องต้นที่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก หากมีอาการผิดปกติ ควรหยุดใช้ทันทีและขอคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อการดูแลผิวที่ปลอดภัยและเหมาะสมในระยะยาว
เขียนบทความโดย
พญ.วิภาณี อัครภูษิต (Wipanee Akarapusit M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39676
การแพ้เครื่องสำอางส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับส่วนผสมบางชนิดในผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำหอม สารกันเสีย สี สารกันแดด หรือสารออกฤทธิ์บางตัว โดยเฉพาะในคนที่มีผิวบอบบาง หรือมีพื้นฐานเป็นผิวที่มีแนวโน้มแพ้ง่าย ผิวจึงตอบสนองต่อสารเหล่านี้ด้วยอาการผื่นแดง คัน แสบ ลอก หรือน้ำเหลืองซึม
แม้ใช้ครีมเดิมมานานก็ยังสามารถเริ่มแพ้เครื่องสำอางตัวเดิมได้ เช่น
ผู้ผลิตปรับสูตรโดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ
ผิวสะสมสารบางอย่างจนเกินขีดที่รับไหว
ผิวไวขึ้นจากอายุ ฮอร์โมน สุขภาพ หรือการใช้ยาบางชนิด
ครีมใกล้หมดอายุหรือมีการปนเปื้อนเชื้อโรค
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผิวที่เคยรับได้ เริ่มเกิดอาการแพ้ตามมาในภายหลัง
เบื้องต้นแนะนำให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยก่อน และสังเกตอาการผิว 1–2 สัปดาห์ หากผื่น คัน แดง ดีขึ้นเมื่อหยุดใช้ผลิตภัณฑ์บางตัว มีโอกาสสูงว่าตัวนั้นเป็นสาเหตุ วิธีที่แม่นยำมากขึ้น คือการปรึกษาแพทย์เพื่อทำการทดสอบแพ้ผิวหนัง (Patch Test) ซึ่งช่วยระบุสารก่อภูมิแพ้ในเครื่องสำอางได้อย่างชัดเจน
หากสามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างชัดเจน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารนั้นอย่างสม่ำเสมอ อาการแพ้เครื่องสำอางส่วนใหญ่สามารถควบคุมได้ดี ลดการกำเริบและความรุนแรงลงจนใกล้เคียงกับการหายขาดในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในบางรายที่มีผิวบอบบางหรือมีโรคผิวหนังพื้นฐานอยู่แล้ว อาจต้องดูแลระยะยาวและติดตามอาการเป็นช่วง ๆ ร่วมด้วย
ผิวระคายเคืองทั่วไปอาจเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่แรงเกินไป ล้างออกไม่หมด หรือใช้ผิดวิธี ทำให้ผิวแห้ง แดง แสบตึงชั่วคราว แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้โดยตรง ส่วนการแพ้เครื่องสำอางมักเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารบางชนิดด้วยการเกิดผื่นแดง คัน บวม หรือน้ำเหลือง และมักมีโอกาสเป็นซ้ำบริเวณเดิมเมื่อสัมผัสสารนั้นอีก
ในช่วงที่ผื่นกำเริบ แนะนำให้หยุดใช้เมกอัปและสกินแคร์ที่ไม่จำเป็นชั่วคราว เหลือเพียง
คลีนเซอร์อ่อนโยน
มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
ครีมกันแดดสูตรสำหรับผิวบอบบาง
เมื่ออาการดีขึ้นจึงค่อยกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์อื่นทีละตัว และควรให้แพทย์ช่วยวางลำดับการเริ่มใช้ใหม่ เพื่อลดโอกาสแพ้ซ้ำ
สำหรับผิวแพ้ง่าย แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเหมาะสำหรับผิวบอบบาง หลีกเลี่ยงสารที่มักก่อให้เกิดการแพ้ เช่น น้ำหอม สีบางชนิด แอลกอฮอล์ และสารกันเสียบางประเภท ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทีละตัว ไม่เปลี่ยนหลายอย่างพร้อมกัน และหากมีประวัติแพ้ส่วนผสมใด ควรอ่านฉลากส่วนผสมทุกครั้งก่อนซื้อ
สามารถทดสอบโดยทาผลิตภัณฑ์บริเวณท้องแขนด้านในหรือหลังใบหูในปริมาณเล็กน้อย ติดต่อกัน 2 วัน แล้วสังเกตอาการ 48 ชั่วโมง หากมีผื่น คัน แดง แสบ หรือตึงผิดปกติ ไม่ควรนำผลิตภัณฑ์นั้นมาใช้บนใบหน้าหรือบริเวณกว้าง วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงการแพ้เครื่องสำอางบนจุดที่บอบบาง เช่น ผิวหน้าและรอบดวงตา
ในบางรายที่มีภูมิแพ้อื่นอยู่แล้ว เช่น แพ้อากาศ แพ้อาหาร หรือมีประวัติผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผิวอาจไวและมีแนวโน้มแพ้เครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีภูมิแพ้จะต้องแพ้เครื่องสำอางเสมอไป การซักประวัติและประเมินร่วมกับแพทย์ช่วยให้เข้าใจภาพรวมของภาวะแพ้แต่ละรายได้ชัดเจนขึ้น
แนะนำให้
นำผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นประจำไปให้แพทย์ดู หรือถ่ายรูปฉลากส่วนผสม
จดช่วงเวลาที่เริ่มมีอาการ และตำแหน่งที่มีผื่น
ถ่ายรูปผื่นช่วงที่อาการชัดเจนเก็บไว้
แจ้งประวัติการแพ้อื่น ๆ ที่เคยมี
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้แพทย์ประเมินสาเหตุการแพ้เครื่องสำอาง และวางแผนการดูแลผิวที่เหมาะสมได้ละเอียดมากขึ้น
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ การตัดสินใจเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง โดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินสภาพผิวเป็นรายบุคคล