อาการผื่น คัน หรือระคายเคืองผิวหนัง อาจเกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือมีประวัติภูมิแพ้ อาการอาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น สารเคมีในเครื่องสำอาง สารกันบูด น้ำหอม หรือสภาพอากาศที่แห้งและร้อนจัด รวมไปถึงปัจจัยภายใน เช่น พันธุกรรมหรือระบบภูมิคุ้มกัน
อาการแพ้ต่างๆ ที่บริเวณใบหน้า, ลำตัว และแขนขา หรือโรคแพ้สัมผัสระคายเคือง Allergic contact dermatitis และ Seborrheic Dermatitis แพทย์มักให้ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาแก้แพ้ ยาลดการอักเสบ การสร้างภูมิต้านทาน หรือยาฆ่าเชื้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค ดังนั้นการใช้ยาจึงควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์ การรักษาอาจเห็นผลอย่างรวดเร็ว แต่บางครั้งอาจใช้เวลานาน บางคนอาจต้องรักษาด้วยการทายาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายปี เพื่อควบคุมอาการของโรค
อาการผื่น คัน (Rash) หรือสะเก็ดที่ผิวหนัง เป็นอาการระคายเคือง หรืออาการอักเสบทางผิวหนัง (Eczema หรือ Dermatitis) สามารถรักษาให้หายได้ แม้ว่าไม่ได้เป็นโรคติดต่อ ซึ่งความผิดปกติประเภทนี้เป็นกลุ่มโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป Eczema หรือ Dermatitis มีสาเหตุหลายประการ
เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างผิวกับสารเคมีที่สัมผัสผิว ประเภทที่พบได้บ่อย คือ Irritant Contact Dermatitis คือ อาการผิวหนังอักเสบและระคายเคืองเนื่องจากการสัมผัสสารเคมีในระหว่างชีวิตประจำวัน เช่น ขณะทำงานบ้าน ลักษณะงานตามอาชีพ และสิ่งแวดล้อม สารที่มักเป็นสาเหตุของอาการ เช่น สารซักฟอก กรดด่างที่มีความเข้มข้นสูง เป็นต้น อาการสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและเกิดขึ้นได้แม้เมื่อสัมผัสสารเพียงครั้งแรก มักเริ่มต้นด้วยอาการคัน แดง หรือไหม้ในกรณีรุนแรง หลังหยุดใช้สาร อาการจะทุเลาลงแต่บางรายอาจมีอาการแพ้ต่อเนื่อง
Allergic Contact Dermatitis คือ อาการผิวหนังอักเสบ เนื่องจากได้รับการสัมผัสกับสารที่ทำให้แพ้ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับเฉพาะบางคน มีลักษณะเป็นผื่นผิวหนังอักเสบ คัน สารที่เป็นสาเหตุของอาการแพ้บ่อย ๆ เช่น โลหะนิเกิล ถุงมือยาง วัสดุ ที่ใช้ทำรองเท้า รวมทั้งเครื่องสำอางต่าง ๆ เช่น ยาย้อมผม ครีมทาผิว เป็นต้น อาการมักเกิดขึ้นหลังการสัมผัสครั้งที่ 2 หรือ ครั้งต่อ ๆ ไป การหยุดใช้สารไม่ทำให้ผื่นหายได้อย่างทันที อาการมักคงอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาการแพ้อาจเกิดขึ้นได้อีก เมื่อสัมผัสกับสารนั้นอีกครั้ง
คนไข้ที่มีอาการแพ้เครื่องสำอาง พบมากในครีมทาหน้าขาวหน้าใสเร็วที่ไม่ได้ผ่านการประเมินจากแพทย์ แพทย์ผิวหนังจะสอบประวัติและตรวจร่างกาย เพื่อวินิจฉัยสารที่อาจเป็นสาเหตุของอาการแพ้ จากนั้น แพทย์จะทำการทดสอบผื่นแพ้ (Patch test)
คือ การทดสอบผื่นแพ้ที่เกิดจากการสัมผัส สารที่เป็นสาเหตุซึ่งพบได้บ่อย เช่น ถุงมือยาง โลหะนิเกิล สีย้อมผม และสารที่ใช้ในการย้อมสี สารกันบูด น้ำหอม เป็นต้น เป็นการทดสอบเพื่อยืนยันการแพ้ และตำแหน่งที่เกิดผื่นที่สงสัยว่าเป็นผื่นสัมผัส เช่น การแพ้โลหะนิเกิลมักมีผื่นที่ติ่งหูจากการแพ้ต่างหู การแพ้สารกันบูดที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์กันแดด และครีมบำรุงผิวทุกชนิด แม้กระทั่งการแพ้สารกันแดดบางชนิด เช่น Oxybenzone หรือ การแพ้น้ำหอมที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอาง มักมีผื่นที่บริเวณผิวหน้า การแพ้อาจมีสาเหตุมาจากสารมากกว่าหนึ่งชนิด การทำ Patch test สามารถทดสอบสารที่ต้องสงสัยได้มากกว่าหนึ่งชนิดพร้อมกัน ทั้งนี้เพื่อบ่งชี้สารที่เป็นสาเหตุของอาการที่แท้จริง
ควรนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ หรือสงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุของอาการแพ้ เช่น ครีม ยาทา หรือเครื่องสำอางมาด้วย พร้อมบรรจุภัณฑ์และฉลาก
ปิดแผ่นพลาสเตอร์ที่มีสารที่จะทำการทดสอบทิ้งไว้ที่บริเวณหลัง 48 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากนั้นแพทย์จะนัดพบเพื่ออ่านผลครั้งแรก และจะนัดพบครั้งที่สองเมื่อครบ 96 ชั่วโมง ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวควรระวังไม่ให้ผิวหนังเปียกน้ำ โดยปกติ มักปิดแผ่นพลาสเตอร์ที่บริเวณแผ่นหลัง แต่บางครั้งอาจปิดที่บริเวณแขน กรณีทดสอบสารไม่กี่ชนิด
ขณะทดสอบ จำเป็นต้องงดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การเล่นกีฬา
การทดสอบนี้อาจกระทำได้ไม่สะดวกในสตรีมีครรภ์
ในกรณีผู้ใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Steroid) ทั้งยาเม็ดและยาฉีดควรงดยาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก่อนการทดสอบ เพราะสเตียรอยด์มีผลกดภูมิคุ้มกัน ทำให้ผลการทดสอบคลาดเคลื่อน
เกิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อาจเกี่ยวกับพันธุกรรมโรคในกลุ่มนี้มีหลายชนิด ชนิดที่พบบ่อย คือ Atopic Dermatitis และ Seborrheic dermatitis
Atopic Dermatitis (AD) คือ อาการทางผิวหนังที่เกิดร่วมกับอาการหอบหืด โรคแพ้ละอองเกสรดอกไม้ เป็นลักษณะถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยผู้ป่วยมีระดับ Immunoglobulin E สูง (สารที่พบในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้) อาการโดยมากพบในวัยเด็ก มีเพียงส่วนน้อยที่พบในช่วงอายุอื่น อาการของผู้ป่วย AD โดยทั่วไปมีผิวแห้งและมีเหงื่อออกน้อย ในเด็กอ่อนมีอาการ ผิวแห้งเป็นสะเก็ดที่แก้มทั้ง 2 ข้าง เมื่อโตขึ้นอาการอาจลุกลามไปยังบริเวณลำคอหรือบริเวณแขนด้านนอก ในเด็กอายุประมาณ 2 ปี หรือในวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มสาว มักพบผื่นบริเวณข้อพับของแขน ขา ใบหน้า และลำคอ โดยปกติ อาการจะทุเลาลงเมื่อยู่ในช่วงเวลา 8 ปี แต่จะกลับมาเป็นอีกเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว
ปัจจัยส่งเสริมที่ก่อให้เกิดความรุนแรงของโรค AD
สภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น แห้ง หรือร้อนจัด
การสวมเครื่องนุ่งห่มที่ทำจากใยสังเคราะห์ หรือขนสัตว์
การใช้สบู่ยา หรือยาทาบางชนิด ทำให้เกิดการระคายเคือง
มลภาวะแวดล้อม เช่น การอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองหรือละอองเกสรดอกไม้ ควันบุหรี่
ความเครียดและความวิตกกังวล
การใช้สบู่ที่แรงสำหรับผิวอ่อน หรือระคายเคืองได้ง่าย
สภาวะที่ผิวต้องแสงแดด ลม น้ำทะเล ทราย
Seborrheic dermatitis (SD) คือ ลักษณะอาการทางผิวหนัง เป็นผื่นแดง หรือเป็นมันเห็นขอบชัดเจนโดยที่ด้านบนจะมีสะเก็ดแห้ง ๆ เป็นขุยสีขาวเหลือง ซึ่งมักหลุดลอกออกอยู่บ่อย ๆ บริเวณที่มักพบอาการมี 3 บริเวณ คือ
1. บริเวณใบหน้า ข้างจมูก ระหว่างคิ้ว หลังหู หรือมีสะเก็ดในหู คอ อาจมีอาการอักเสบที่ตา พบบ่อยในผู้ใหญ่ มักเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันทำงานมาก โดยมีสาเหตุของต่อมไขมัน มากผิดปกติ การเจริญเติบโตของเชื้อรา Malassezia (ตามธรรมชาติที่ผิว) มากเกินไป ความเครียด, ความเหนื่อยล้า สภาพอากาศที่หนาวหรือแห้ง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง เช่น โฟมล้างหน้าแรงๆ หรือสครับ
2. บริเวณส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น เหนือกระดูกซี่โครง หลังตอนบน และหน้าอก ผิวจะมีลักษณะ ผื่นแดง มีสะเก็ดมันสีเหลืองอ่อน มักรู้สึกคัน หรือแสบเล็กน้อย ผิวหนังอาจดูมันเยิ้ม ร่วมกับผิวลอกเป็นแผ่นบางๆ
บริเวณรักแร้ อาจเกิดการอักเสบหรือมีผื่นแดงร่วมกับอาการคัน เนื่องจากเป็นบริเวณอับชื้น มีเหงื่อ และเกิดการเสียดสีบ่อย
บริเวณหนังศีรษะ (เรียกว่า Dandruff หรือรังแค) เป็นจุดที่พบได้บ่อยมาก โดยมีลักษณะ สะเก็ดขาว ลอกเป็นขุย หนังศีรษะอาจมีอาการคันร่วมด้วย หากอักเสบมากขึ้น อาจเกิดรอยแดง หรือสะเก็ดหนาได้
3. ในวัยทารกมักพบในบริเวณขาหนีบ ใต้อก และสะดือ ผู้ที่เป็น Seborrheic dermatitis อาจมีการผลิตน้ำมันซึ่งมีกรดผสมอยู่ออกมามาก ทำให้ผิวหนังอักเสบ หรืออาจเกิดจาก เชื้อยีสต์ที่ชื่อ Malassezia ที่เจริญเติบโตอยู่ในต่อมไขมันพร้อมกับแบคทีเรียซึ่งทำให้อาการอักเสบคงทนขึ้น SD มักพบใน 3 ช่วงอายุ คือ ทารกหลังคลอด วัยรุ่น และวัยสูงอายุ เนื่องจากอาการของ SD คล้ายกับอาการของโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) การวินิจฉัยจึงต้องใช้ทักษะของแพทย์ อาการของ SD ยังมีความสัมพันธ์กับโรคอื่นๆ เช่น เอดส์ และการติดเชื้อ Malassezia การวินิจฉัย แพทย์ผิวหนังจะสอบประวัติการเป็นโรคหอบหืดภูมิแพ้อื่น ๆ ของคนในครอบครัว
โรค SD บริเวณหนังศีรษะ มีการศึกษาทางการแพทย์ที่แนะนำว่า แชมพูที่มีส่วนผสมของ salicylic acid, coal tar, zinc pyrithione, selenium sulfide หรือ ketoconazole อาจช่วยลดการอักเสบและสะเก็ดบนหนังศีรษะที่เป็น SD ได้ ผู้ที่เป็นอาจลองแชมพูหลายชนิด เพื่อหาชนิดที่เหมาะกับสภาพหนังศีรษะของตัวเอง ควรเปลี่ยนแชมพูที่ผสมตัวยาสลับกับแชมพูทั่วไป หรือเปลี่ยนแชมพูที่ผสมตัวยาแต่ละชนิดสลับกันเพราะแชมพูที่ผสมยาจะมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อใช้ไปสักระยะเพราะผื่นอาจดื้อยา นอกจากนี้ ขณะที่สระผมควรนวดหนังศีรษะตรงบริเวณที่เป็นและทิ้งไว้สักพักแล้วจึงล้างออก เพื่อทำให้สารซึมซาบลงสู่ผิวหนัง
การรักษารังแคที่ผิวหนังซึ่งเกิดได้หลายบริเวณบนร่างกาย ควรดูแลให้มีประสิทธิภาพดังนี้
1. ทำความสะอาดใบหน้าอย่างอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่มีน้ำหอม ปราศจากสาร SLS และค่า pH ใกล้เคียงผิว หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรง ๆ ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้น
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ควรเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ และปราศจากสารที่อุดตันรูขุมขน หลีกเลี่ยงครีมหรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น
3. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง และควรใช้ครีมกันแดดสูตรสำหรับผิวแพ้ง่าย ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ
4. หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ อาจต้องใช้ยาทาเฉพาะ เช่น ครีมกลุ่มต้านเชื้อรา (เช่น ketoconazole), ครีมต้านการอักเสบ (เช่น pimecrolimus) หรือการดูแลร่วมกับการดูแลอื่นๆ
การดูแลผิว ที่มีปัญหา ผื่น คัน อาการแพ้ อย่างเหมาะสมเพื่อช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรงขึ้น สามารถช่วยลดความรุนแรงของปัญหาผดผื่น อาการแพ้ง่าย และอาการแดงซ้ำซากได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีแนวโน้มเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังอย่าง Seborrheic Dermatitis หรือภาวะผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
BSL Clinic มีแนวทางการรักษาผิวแพ้ง่าย และดูแลที่สาเหตุ โดยเน้นการลดปัจจัยกระตุ้นผื่น เช่น การลดการทำงานของต่อมไขมัน ร่วมกับแนวทางการรักษาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน และวิธีการรักษาที่ดูแลเฉพาะบุคคล เพื่อให้ผิวสุขภาพดีขึ้น โดยลดการอักเสบของผิว ปรับฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสุขภาพและการตอบสนองของผิว
โปรแกรมรักษาผื่น คัน *ใช้เป็นตัวอย่างผลจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย
โปรแกรมรักษาผื่น คัน *ใช้เป็นตัวอย่างผลจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย
ผื่น คัน หรืออาการแพ้ผิวหนัง อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่หากละเลยอาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง การเลือกผลิตภัณฑ์อย่างระมัดระวัง และการดูแลผิวอย่างเข้าใจ เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือเคยมีประวัติแพ้มาก่อน หากมีอาการผิดปกติ ควรเข้ารับคำปรึกษาจากผู้มีความรู้ความเข้าใจด้านผิวหนัง เพื่อการดูแลที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน
เขียนบทความโดย
พญ.วิภาณี อัครภูษิต (Wipanee Akarapusit M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39676
ผื่นคันอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ผื่นแพ้สัมผัสจากน้ำยาซักผ้า สบู่ โลชั่น หรือโลหะบางชนิด ผื่นจากการแพ้เครื่องสำอาง ผื่นจากเหงื่อ ความร้อน เชื้อรา แบคทีเรีย รวมถึงผื่นที่สัมพันธ์กับภูมิแพ้หรือโรคผิวหนังบางชนิด การสังเกตตำแหน่งผื่น ระยะเวลาที่เป็น และสิ่งที่กระตุ้นจะช่วยให้หาสาเหตุได้ง่ายขึ้น
เบื้องต้นแนะนำให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัยทันที ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าหรือคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนสำหรับผิวแพ้ง่าย หลีกเลี่ยงการขัดหรือถูแรง หากอาการผื่นคัน แดง บวม ไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน หรือมีแนวโน้มลุกลาม ควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและประเมินการรักษาอย่างละเอียด
ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ สี และสารกันเสียที่รุนแรง เลือกสูตรที่ระบุว่าเหมาะกับผิวแพ้ง่าย เน้นให้ความชุ่มชื้นกับผิวโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และควรทดลองใช้ทีละตัว หากมีอาการผื่นคัน แดง แสบ ควรหยุดใช้และสังเกตอาการ
การรักษาผื่นแพ้ผิวหนังขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากในชีวิตประจำวันสามารถหลีกเลี่ยงสารกระตุ้นหรือปัจจัยที่ทำให้เกิดผื่นคันได้ อาการมักควบคุมได้ดีและไม่กำเริบง่าย แต่ในบางกรณีที่ยังเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นไม่ได้ หรือมีโรคผิวหนังพื้นฐานร่วมด้วย อาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำเป็นระยะ
ควรรีบพบแพทย์เมื่อผื่นคันลุกลามเร็ว มีผื่นทั่วตัว มีไข้ร่วมด้วย มีอาการบวมรอบตา ริมฝีปาก หรือรู้สึกหายใจลำบาก ผื่นมีน้ำเหลือง ซึม เจ็บมาก หรือสงสัยว่ารับประทานยา/อาหารบางอย่างแล้วเกิดผื่นทันที รวมถึงผื่นที่เป็นเรื้อรัง รักษาเองแล้วไม่ดีขึ้น
ควรหยุดใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้ สังเกตว่ามีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หน้ามืด หรือบวมที่ใบหน้าและลำคอหรือไม่ หากมีอาการเหล่านี้จำเป็นต้องพบแพทย์โดยเร็ว การมีผื่นคันร่วมกับไข้อาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อหรือปฏิกิริยาจากยา ซึ่งต้องได้รับการวินิจฉัยและติดตามอย่างใกล้ชิด
ผิวเด็กมักบอบบางและสูญเสียน้ำได้ง่าย จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ หลีกเลี่ยงการอาบน้ำนานหรือใช้น้ำอุ่นเกินไป ไม่ใช้สกินแคร์ของผู้ใหญ่กับเด็กโดยตรง และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทาผื่นคันทุกครั้ง โดยเฉพาะยาที่มีสเตียรอยด์
หากเกิดผื่นคันเฉพาะที่จากแมลงกัดต่อย ควรล้างทำความสะอาดผิวอย่างเบามือ ประคบเย็นเพื่อลดบวมและคัน หลีกเลี่ยงการเกาแรง ๆ เพื่อป้องกันแผลถลอกและการติดเชื้อ หากสงสัยว่าเกิดจากน้ำยาซักผ้าหรือสารเคมี ควรเปลี่ยนไปใช้สูตรอ่อนโยน หรืองดใช้ชั่วคราวและสังเกตอาการ หากผื่นลุกลามมากหรือมีอาการอื่นร่วมด้วยควรพบแพทย์
ผื่นคันเรื้อรังบางชนิดสัมพันธ์กับภูมิแพ้ เช่น ผื่นลมพิษเรื้อรัง ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง หรือผื่นจากการแพ้สัมผัสสารบางอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น โลหะ ยาง น้ำหอม น้ำยาทำความสะอาด การซักประวัติอย่างละเอียดและการตรวจเพิ่มเติมในบางราย จะช่วยให้ทราบว่าสัมพันธ์กับภูมิแพ้หรือปัจจัยอื่นมากน้อยเพียงใด
ควรจดหรือถ่ายรูปยา สกินแคร์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ใช้เป็นประจำ เตรียมข้อมูลว่าผื่นคันเริ่มขึ้นเมื่อไร เป็นบริเวณไหน มีเหตุการณ์หรือปัจจัยกระตุ้นก่อนเกิดผื่นหรือไม่ เช่น อาหาร ยา สัตว์เลี้ยง การเปลี่ยนสถานที่ทำงาน รวมถึงถ่ายรูปผื่นในช่วงที่อาการชัดเจนไว้ เพื่อช่วยให้แพทย์ประเมินสาเหตุและวางแผนการรักษาได้ละเอียดขึ้น
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล
การเลือกวิธีรักษาหรือการฉีดสิวควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง โดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินสภาพผิวเป็นรายบุคคล