ริมฝีปาก ถือเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา การรับประทานอาหาร การดูดน้ำ หรือการใช้แสดงอารมณ์ นอกจากนี้ริมฝีปากยังเป็นสื่อของความรู้สึกที่ดีต่อกัน ผ่านรอยยิ้มที่สดใส ที่มีผลต่อความสวยงามของใบหน้า แต่ถ้าหากเกิดปัญหา “ริมฝีปากอักเสบ” หรือ ริมฝีปากคล้ำ เกิดขึ้น แน่นอนว่าทำให้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของคุณในหลาย ๆ ด้านเลย
ปัญหานี้เกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากภายนอกและภายในร่างกาย ได้แก่
หากสงสัยว่าริมฝีปากมีอาการที่เกิดจากการแพ้สัมผัส การตรวจเพื่อหาสาเหตุของภาวะนี้ทำได้โดยการทำ patch test หรือการตรวจภูมิแพ้ผิวหนังด้วยการปิดแผ่นทดสอบบริเวณหลังหรือต้นแขน ด้วยสารมาตรฐานในชุดทดสอบและเครื่องสำอางของผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัยภาวะผื่นแพ้สัมผัส
ริมฝีปากอักเสบแห้งลอกอาจเป็นเรื่องเล็ก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแลหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อผิวและสุขภาพช่องปากได้ การสังเกตอาการและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเป็นสิ่งสำคัญ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ที่ดูแลด้านผิวหนังเพื่อการดูแลที่เหมาะสม
การพยากรณ์โรคในกรณีที่เกิดจากผื่นแพ้สัมผัส หากได้รับการตรวจพบสาเหตุและสามารถหลีกเลี่ยงได้ หรือกรณีเกิดจากการระคายและสามารถงดเว้นการเลีย เม้มปาก อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นบทความโดย: อ. พญ. ปราณี เกษมศานติ์ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลhttp://dst.or.th/html/index.php?op=article-detail&id=1178&csid=14&cid=23#.WFeHfVOLSUk
ริมฝีปากอักเสบคือภาวะที่ริมฝีปากแห้ง แตก ลอก แดง หรือแสบคันมากกว่าปกติ บางคนมีแผลที่มุมปากหรือผื่นลามออกมาที่ขอบปากร่วมด้วย ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการระคายเคืองหรือการแพ้สารบางอย่างร่วมกับสภาพผิวที่แห้งง่าย
สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การแพ้สารในลิปสติก ลิปบาล์ม ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก เล็บและยาทาเล็บ วัสดุอุดฟัน หรืออาหารบางชนิด รวมถึงพฤติกรรมเลียปาก เม้มปากบ่อย ๆ และภาวะผิวแห้งจากโรคภูมิแพ้ผิวหนังหรือสภาพอากาศแห้งจัด
ถ้าริมฝีปากแห้ง ลอก หรือแตกซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ควรคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจมีปัจจัยกระตุ้น เช่น แพ้ผลิตภัณฑ์บางตัว เลียปากบ่อย หรือมีโรคผิวหนังบางชนิดร่วมอยู่ ควรลองสังเกตและหลีกเลี่ยงสิ่งที่สงสัยก่อน และหากไม่ดีขึ้นควรให้แพทย์ช่วยประเมิน
ไม่จริงค่ะ การเลียปากอาจทำให้รู้สึกชุ่มชื้นชั่วคราว แต่หากทำพฤติกรรมเลียปากต่อไปเรื่อยๆ ในน้ำลายมีเอนไซม์ที่สามารถทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองมากขึ้น จะยิ่งทำให้ผิวริมฝีปากอักเสบขึ้นเรื่อยๆ ได้
ควรตรวจสอบส่วนผสมของลิปบาล์ม ให้สงสัยว่าอาจมีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ เช่น menthol, กลิ่นหอม หรือสารกันเสีย หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
เบื้องต้นแนะนำให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่สงสัย และเลือกใช้ลิปบาล์มสูตรอ่อนโยน ไม่มีน้ำหอมหรือสี หากอาการรุนแรงควรตรวจ patch test เพื่อหาสารก่อการแพ้จากแพทย์จะดีกว่า
มุมปากอักเสบจะเห็นเป็นรอยแดง แห้ง หรือแตกเป็นแผลเล็ก ๆ ที่ขอบมุมปากทั้งข้างเดียวหรือสองข้าง บางคนจะเจ็บหรือแสบเวลาอ้าปากกว้าง หรือพูดนาน ๆ หากปล่อยไว้นานอาจเรื้อรังและลอกซ้ำได้บ่อย
เบื้องต้นควรหลีกเลี่ยงการเลียหรือเม้มปาก งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสระคายเคือง เลือกใช้วาสลีน ขี้ผึ้ง หรือบาล์มที่ไม่มีน้ำหอมและแอลกอฮอล์ ทาบาง ๆ บ่อย ๆ เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ดื่มน้ำให้เพียงพอ และระวังไม่แกะหรือดึงหนังริมฝีปากที่ลอกออกแรง ๆ
หากริมฝีปากแดง ลอก แสบ หรือแตกเป็นแผลเรื้อรังต่อเนื่องเกิน 1–2 สัปดาห์ ทั้งที่พยายามหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่สงสัยและดูแลด้วยตนเองแล้ว ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน และพิจารณาการใช้ยาลดการอักเสบหรือการตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
การตรวจที่ใช้บ่อยคือ patch test โดยจะปิดสารทดสอบมาตรฐานและผลิตภัณฑ์ที่ใช้จริงบนผิวบริเวณหลังหรือแขนช่วงหนึ่ง แล้วดูว่ามีตำแหน่งใดเกิดผื่นหรืออักเสบขึ้นมา ช่วยระบุได้ว่ามีสารใดเป็นตัวกระตุ้นอาการริมฝีปากอักเสบของแต่ละคน
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล ผู้ที่มีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทุกครั้งก่อนตัดสินใจรับการรักษา