สายฝนที่พร่ำโปรยลงมา ไม่ได้มีแค่เพียงความเย็นชุ่มช่ำเท่านั้น ยังมีภัยต่อผิวหนังของเราซึ่งแอบซ่อนมากับสายฝนในช่วงฤดูฝนนี้อีกด้วย เมื่อฝนตก ภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั้นคือ อากาศที่อับชื้น ซึ่งเอื้ออำนวยให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นปัญหาที่พบได้เสมอในช่วงหน้าฝน มักมีสาเหตุมาจากเชื้อรา ผื่นผิวหนังอักเสบจากเชื้อรา ซึ่งมีได้หลายรูปแบบ เรามาทำความรู้จักกับผื่นที่พบได้บ่อย ๆ กันดีกว่าค่ะ
จะเป็นวงด่าง ๆ สีขาว หรือสีเนื้อ ในบางคนอาจขึ้นเป็นวงสีน้ำตาล ร่วมกับมีขุยสีขาวเล็ก ๆ มักเกิดขึ้นบนผิวหนัง บริเวณหน้าอกและลำตัว อาจมีอาการคันร่วมด้วยได้ นอกจากดูไม่สวยงามแล้ว ยังทำให้เสียบุคลิก โรคเกลื้อนเกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Malassezia furfur สามารถพบได้บนผิวหนังของคนทั่วไป แต่ปกติแล้วไม่ก่อโรค ยกเว้นในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น คนที่ออกกำลังกาย เหงื่อออก หรือตากฝน แล้วไม่ยอมอาบน้ำ ร่างกายชื้นแฉะอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดผื่นลักษณะดังกล่าวขึ้น
ในคนที่ภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือคนที่มีน้ำหนักมาก อาจเกิดผื่นสีแดงแฉะขึ้นตามบริเวณข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม ร่วมกับมีอาการคันมาก สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในกลุ่มแคนดิดา (Candida) ซึ่งโดยทั่วไปมักตอบสนองต่อยาทาฆ่าเชื้อราที่ใช้รักษา แต่ก็ยังมีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้ จึงควรให้แพทย์ประเมินอาการและเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละคน เพราะยีสต์ชนิดนี้พบได้ในร่างกายของคนเรา เช่น บริเวณช่องปาก ระบบทางเดินอาหาร และช่องคลอด
เกิดจากเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes ซึ่งอยู่ตามสิ่งแวดล้อม เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว จะเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ดีมากในอากาศร้อนชื้น อาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลากได้หลายตำแหน่ง ได้แก่
3.1 โรคน้ำกัดเท้าหรือเชื้อราที่เท้า ช่วงที่ฝนตกมาก ๆ บางพื้นที่อาจมีน้ำท่วมขัง หรือเวลาฝนตกนานเป็นชั่วโมง ทำให้ต้องเดินย่ำน้ำ ชื้นแฉะ เป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากยังไม่รีบทำความสะอาดเท้า ผ่านไปสักระยะหนึ่งอาจพบว่าผิวตามซอกนิ้วเท้าลอกเป็นขุยขาว ๆ หรือเปียกยุ่ย หรืออาจถึงขั้นเป็นแผล มีน้ำเหลืองแฉะที่ผิว การรักษาโรคราที่เท้า ควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และเช็ดให้แห้ง ใส่ถุงเท้าที่สะอาดและไม่เปียกชื้นใช้ครีมกันเชื้อราหรือโรยแป้งฝุ่นที่เท้า
3.2 สังคัง คือการติดเชื้อกลากบริเวณขาหนีบ ต้นขา ข้อพับต้นขา เริ่มต้นเป็นตุ่มแดงเล็ก ๆ ค่อย ๆ ขยายกว้างออกจนเป็นวงกลม เห็นเป็นขอบเขตชัดเจน ผิวจะแห้งและอาจมีขุยบริเวณตรงกลางมักเป็นผิวหนังปกติ มีอาการคัน วงมีขนาดตั้งแต่เล็กถึงขนาดใหญ่
3.3 กลากที่ศีรษะ พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ส่วนมากเห็นเป็นวงกลม ขอบเขตชัดเจน มีสะเก็ดหรือขุย บริเวณนั้นอาจมีผมร่วงเป็นหย่อม ๆ และจะพบผมหักร่วมด้วย บางครั้งพบลักษณะที่เรียกว่าชันนะตุ ซึ่งเป็นกลากชนิดที่มีการอักเสบมาก อาจพบเป็นก้อนใหญ่แล้วแตกออกมีน้ำเหลืองแห้งกรังได้
3.4 โรคติดเชื้อราที่เล็บ ส่วนมากพบในผู้ใหญ่ เล็บของคนแก่ซึ่งยาวช้าจะมีโอกาสติดเชื้อราได้ง่าย อาจพบที่ตรงปลายเล็บหรือด้านข้าง มีสีขาวหรือเหลืองปนน้ำตาล ต่อมาใต้เล็บจะหนาขึ้นและดันเล็บให้ยกขึ้นหรืออาจจะพบที่ผิวบนของเล็บก็ได้ ลักษณะเป็นดวงสีขาว หรือมีขุยขาวๆ อยู่ที่ส่วนบนของเล็บ ส่วนกลากที่โคนเล็บพบน้อย เริ่มแรกจะมีสีขาวหรือขาวปนน้ำตาลเกิดขึ้นที่ส่วนโคนเล็บ ต่อมาจะขยายออกจนเป็นทั้งเล็บ ต้องรักษาด้วยการรับประทานยาฆ่าเชื้อรา
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสาเหตุของโรคส่วนใหญ่มาจากการย่ำน้ำสกปรกหรือปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นอยู่เป็นระยะเวลานาน ทำให้เชื้อโรคซึ่งพบได้ตามสิ่งแวดล้อมทั่วไป เพิ่มจำนวนขึ้นจนก่อให้เกิดโรค ดังนั้นการป้องกันอันดับแรก คือ หลีกเลี่ยงการเหยียบย่ำน้ำ หรือตากฝน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับถึงที่พัก ควรรีบถอดเสื้อผ้า แล้วอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อชนิดพิเศษแต่อย่างใด เพราะอาจแรงเกินไป เสร็จแล้วใช้ผ้าซับ หรือใช้พัดลมเป่าให้แห้ง การโรยแป้งฝุ่นสามารถช่วยลดความชื้นและการเสียดสีได้ เสื้อผ้าและถุงเท้าที่ใช้ควรทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ไม่หนาจนเกินไป เพื่อให้ระบายอากาศได้ดี หน้าฝนผ้ายีนส์ เสื้อผ้าหนังจะแห้งยากทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย จึงควรระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้แล้วการใส่รองเท้าแตะบ้าง ก็ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อราที่เท้าได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือ เมื่อเกิดความผิดปกติของผิวหนังควรรีบปรึกษาแพทย์ที่ดูแลด้านผิวหนัง เพื่อให้ช่วยประเมิน วินิจฉัย และวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพผิวและอาการของแต่ละคนค่ะ หน้าฝนนี้อย่าลืมพกร่มติดตัวด้วยนะคะ!
บทความโดย :
พญ. กนกวรรณ เศรษฐพงศ์วนิช สถาบันโรคผิวหนัง
http://dst.or.th/html/index.php?op=article-detail&id=915&csid=11&cid=23#.WDQm1rKLSUk
เขียนบทความโดย
นพ. วุฒินันท์ สิทธิผลวนิชกุล (Wutinan Sithipolvanichgul, M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39678
ช่วงหน้าฝนมักมีความชื้นสูง เสื้อผ้าและรองเท้าแห้งช้ากว่าปกติ จึงเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียมากขึ้น ควรดูแลให้ผิวแห้งสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นโดยเร็ว และหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าหรือรองเท้าที่อับเป็นเวลานาน
มีโอกาสเกิดเชื้อราได้ โดยเฉพาะในบริเวณที่อับชื้น เช่น ขาหนีบ ซอกนิ้วเท้า ร่องก้น หรือใต้ราวนม หากเช็ดตัวไม่แห้งหรือปล่อยให้ผิวอับชื้นต่อเนื่องกันหลายวัน อาจทำให้เกิดผื่นคันหรือเชื้อราได้ง่ายขึ้น จึงควรซับผิวให้แห้งทุกครั้งหลังอาบน้ำ
แป้งฝุ่นอาจช่วยซับความชื้นและลดการเสียดสีของผิวในบางบริเวณได้ แต่ควรใช้ในปริมาณพอเหมาะ และเลือกชนิดที่ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน หลีกเลี่ยงการโรยแป้งหนาเกินไปหรือทับหลายชั้น เพราะอาจทำให้เกิดการอับชื้นหรือระคายเคืองผิวได้เช่นกัน
เบื้องต้นควรล้างเท้าให้สะอาด ซับให้แห้ง โดยเฉพาะตามซอกนิ้วเท้า และพยายามหลีกเลี่ยงการยืนหรือลุยน้ำสกปรก หากมีอาการคัน แดง ลอก อาจใช้ยาทารักษาเชื้อราตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีแผลแตก เจ็บมาก ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินเพิ่มเติม
พบได้หลากหลาย เช่น เชื้อราที่ผิวหนัง น้ำกัดเท้า ผื่นจากความอับชื้น ผื่นแพ้สัมผัส สิวผดจากอากาศร้อนชื้น หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในบางกรณี ความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไป หากมีผื่นคันเรื้อรัง หรือมีน้ำเหลือง ไข้ร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุที่ชัดเจน
การใส่เสื้อผ้าและรองเท้าที่เปียกหรือชื้นเป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง อับชื้น และเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อรา ผดผื่นคัน หรือกลิ่นอับ ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเปียกฝนและนำรองเท้าไปผึ่งลมหรือแดดให้แห้งสนิทก่อนใช้งานในครั้งถัดไป
เด็กเล็กและผู้สูงอายุอาจมีผิวบอบบางหรือมีภูมิคุ้มกันแตกต่างจากผู้ใหญ่ทั่วไป ทำให้ไวต่อการระคายเคืองและการติดเชื้อบางชนิดได้ง่ายขึ้น จึงควรดูแลเรื่องความสะอาด การเช็ดตัวให้แห้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าและผ้าอ้อมเมื่อชื้น รวมถึงสังเกตผื่นหรือรอยโรคผิดปกติ หากมีอาการคันมากหรือเป็นซ้ำบ่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์
ส่วนใหญ่การอาบน้ำวันละ 1–2 ครั้งยังถือว่าเพียงพอ ขึ้นอยู่กับกิจกรรมในแต่ละวัน หากเปียกฝน หรือต้องลุยน้ำสกปรก ควรอาบน้ำทำความสะอาดทันที เลือกสบู่หรือเจลอาบน้ำที่ไม่ทำให้ผิวแห้งตึงจนเกินไป และล้างออกให้สะอาด จากนั้นซับผิวให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณข้อพับและซอกต่าง ๆ
หากผื่นคันเป็นเพียงเล็กน้อยและหายไปภายในไม่กี่วันหลังจากดูแลผิวให้แห้งสะอาด อาจเป็นการระคายเคืองเล็กน้อยจากความชื้น แต่ถ้าผื่นมีลักษณะเป็นวง ขอบชัด แดง คันมาก มีลอกเป็นขุย หรือเป็นซ้ำ ๆ ในตำแหน่งเดิม รวมถึงมีน้ำเหลือง เจ็บ หรือบวมแดง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อ เช่น เชื้อรา หรือแบคทีเรียร่วมด้วยหรือไม่
ลองสังเกตว่ามักเป็นในช่วงหรือพฤติกรรมใด เช่น ลุยน้ำบ่อย ใส่รองเท้าผ้าใบชื้นเป็นประจำ หรือชอบใส่เสื้อผ้ารัดแน่น เมื่อทราบสาเหตุที่เป็นไปได้ ควรปรับพฤติกรรม เช่น เปลี่ยนรองเท้าให้แห้งสะอาด ลดการลุยน้ำสกปรก สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศดี และหมั่นดูแลผิวให้แห้งอยู่เสมอ หากยังมีปัญหาแม้พยายามปรับแล้ว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีดูแลที่เหมาะกับสภาพผิวของตนเองมากขึ้น
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล ผู้ที่มีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทุกครั้งก่อนตัดสินใจรับการรักษา