ผิวแห้งเป็นปัญหาที่พบบ่อย โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่แห้งจัด เนื่องจากผิวในชั้นหนังกำพร้า สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ผิวแห้งกร้าน แตก ลอกเป็นขุย และเกิดอาการคัน เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย ผิวแห้งจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวประเภทนี้โดยเฉพาะ เพราะผิวแห้งมักมีลักษณะบอบบาง รูขุมขนเล็ก และอ่อนแอกว่าผิวประเภทอื่น ๆ จึงอาจทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองได้ง่าย
ผิวแห้ง (Dry Skin) คือ ภาวะที่ผิวหน้าขาดความชุ่มชื้นและน้ำมันตามธรรมชาติ (Sebum) ส่งผลให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง ผิวจึงแห้งตึง หยาบกร้าน ลอกเป็นขุย หรือมีอาการคันร่วมด้วยได้ อาการเหล่านี้มักเกิดจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันน้อยกว่าปกติ หรือผิวสูญเสียน้ำมากเกินไป เช่น หลังล้างหน้าจะรู้สึกตึง ผิวไม่เรียบเนียน อาจเห็นริ้วรอยก่อนวัยชัดขึ้น หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจทำให้ผิวระคายเคืองง่าย และเกิดโรคผิวหนังอื่น ๆ ตามมาได้
การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างความชุ่มชื้นให้ผิว และลดโอกาสการระคายเคือง ส่วนผสมที่แนะนำ เช่น
Hyaluronic Acid คุณสมบัติช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ใต้ผิว
Ceramides คุณสมบัติช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ
Glycerin / Urea / Sodium PCA ช่วยดึงความชุ่มชื้นจากอากาศสู่ผิว
Fatty acids และ Squalene สารที่ช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรงและอ่อนนุ่ม
Panthenol (Vitamin B5) สามารถช่วยลดการอักเสบและเสริมการซ่อมแซมผิว
ผิวแห้งอาจดูเหมือนปัญหาเล็กๆ แต่หากปล่อยไว้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง และส่งผลต่อความมั่นใจในระยะยาว การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าแห้งให้เหมาะกับสภาพผิว และใช้ส่วนผสมที่อ่อนโยน มีสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่เหมาะสมกับสภาพผิว ร่วมกับพฤติกรรมการดูแลผิวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผิวค่อย ๆ ฟื้นฟูสมดุล และดูแข็งแรงขึ้นในระยะยาว
หากคุณไม่แน่ใจว่าผิวของคุณเข้าข่ายผิวแห้งหรือไม่ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อให้การดูแลผิวเหมาะสมกับสภาพผิวของคุณมากที่สุด
เขียนบทความโดย
นพ. วุฒินันท์ สิทธิผลวนิชกุล (Wutinan Sithipolvanichgul, M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39678
ผิวหน้าแห้งควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น กรดผลัดเซลล์ผิวความเข้มข้นสูง (AHA, BHA) หรือแอลกอฮอล์ รวมถึงการสครับหรือขัดผิวบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวแห้งตึงและระคายเคืองมากขึ้น นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าหรืออาบน้ำด้วยน้ำร้อนจัด เพราะความร้อนจะดึงความชุ่มชื้นออกจากผิวได้ง่าย
ผิวหน้าแห้งมักเหมาะกับมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อครีมหรือบาล์มที่ให้ความชุ่มชื้นค่อนข้างเข้มข้น และมีส่วนผสมที่ช่วยกักเก็บน้ำในผิว เช่น ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid), กลีเซอรีน (Glycerin) ร่วมกับส่วนผสมที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว เช่น เซราไมด์ (Ceramide) หรือกรดไขมันต่าง ๆ เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำและทำให้ผิวรู้สึกสบายขึ้น
ควรทาครีมกันแดดทุกวันแม้จะอยู่ในอาคาร เพราะรังสี UV ยังสามารถผ่านกระจกหรือสะท้อนเข้ามาได้ แนะนำให้เลือกกันแดดที่ให้ความชุ่มชื้นหรือมีคุณสมบัติช่วยบำรุงไปพร้อมกัน เพื่อลดโอกาสที่ผิวจะแห้งลอกและช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะในชีวิตประจำวัน
หากผิวหน้าแห้งจนเริ่มลอก แสบ หรือรู้สึกตึง ควรลดจำนวนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ให้เรียบง่ายลงก่อน เช่น ใช้เพียงคลีนเซอร์อ่อนโยน มอยส์เจอไรเซอร์ และกันแดด แล้วค่อย ๆ เพิ่มผลิตภัณฑ์อื่นทีละอย่างเมื่อผิวเริ่มสงบ การสังเกตว่ามีผลิตภัณฑ์ใดทำให้รู้สึกแสบหรือคัน ควรหยุดใช้ชั่วคราว และหากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์
โดยทั่วไปสามารถเริ่มจากการล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์อ่อนโยน ตามด้วยโทนเนอร์หรือเอสเซนส์ที่ให้ความชุ่มชื้น จากนั้นจึงลงเซรั่มบำรุง และปิดท้ายด้วยครีมหรือบาล์มเคลือบผิวเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น ช่วงเช้าควรทากันแดดเป็นขั้นตอนสุดท้าย ส่วนกลางคืนสามารถเพิ่มมาสก์เนื้อครีมหรือครีมเข้มข้นขึ้นตามความเหมาะสมของผิว
ผิวหน้าแห้งมักขาดน้ำมันตามธรรมชาติของผิว ทำให้ผิวดูแห้ง ลอก หรือเป็นขุย ส่วนผิวขาดน้ำคือผิวที่มีระดับน้ำในผิวไม่เพียงพอ แม้บางคนจะมีผิวมันแต่ก็ยังขาดน้ำได้ การเลือกครีมจึงควรดูทั้งสองปัจจัย หากผิวแห้งและขาดน้ำ ควรใช้ทั้งผลิตภัณฑ์ที่เติมน้ำให้ผิว (เช่น เซรั่มเนื้อบางที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น) และครีมที่ช่วยเคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำ
สามารถใช้ได้ในบางกรณี แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะคนที่ผิวบอบบางหรือมีผิวลอกง่าย ควรเริ่มจากการใช้สัปดาห์ละไม่กี่ครั้ง ใช้ในปริมาณเล็กน้อย และตามด้วยครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นเพียงพอ หากมีอาการแสบ แดง หรือลอกมากผิดปกติ ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ก่อนปรับตารางการใช้ผลิตภัณฑ์อีกครั้ง
อากาศเย็นหรือแห้ง รวมถึงการอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน อาจทำให้ผิวสูญเสียน้ำได้มากขึ้น ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เช่น ครีมเนื้อเข้มข้นหรือออยล์บำรุงบางเบา เพิ่มความถี่ในการทาครีมในบริเวณที่แห้งมาก และดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดวัน การใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศในห้องที่ใช้เวลาอยู่บ่อย ๆ ก็อาจเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ผิวไม่แห้งเกินไป
โดยทั่วไปผิวอาจรู้สึกนุ่มและชุ่มชื้นขึ้นได้ภายในไม่กี่วันเมื่อได้รับความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ แต่การปรับสมดุลผิวและเกราะป้องกันผิวโดยรวมอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพผิวเดิม พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน
หากผิวหน้าแห้งมากจนลอกเป็นแผ่น แดง แสบ คัน มีผื่น หรือมีแผลแตกเป็น ๆ หาย ๆ แม้จะปรับการดูแลผิวแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น ภาวะผิวหนังอักเสบ หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง การประเมินแบบตัวต่อตัวจะช่วยให้ได้รับคำแนะนำการดูแลผิวและการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคนมากขึ้น
ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์เฉพาะบุคคล ผู้ที่มีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทุกครั้งก่อนตัดสินใจรับการรักษา