Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์

การเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวของคุณ

โดยธรรมชาติแล้ว ผิวในช่วงที่ยังเป็นเด็กดูสดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่ชั้นผิวหนังเต็มไปด้วยสาร ceramides, sphingosine, แนทเชอรัลมอยส์เจอร์ไรซิ่งแฟคเตอร์ (Natural Moisturizing Factors) เช่น โซเดียมพีซีเอ (Sodium PCA) ยูเรีย (Urea) เกลือโซเดียมแลกเตท (Sodium Lactate Salt) โปรแตสเซียมซิเตรท (Potassium Citrate) เซอรีน (Serine) ไกลซีน (Glycine) กรดกลูตามิก (Glutamic Acid) อะลานีน (Alanine) และไทโรซีน (Tyrosine) สารเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันธรรมชาติ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิว และเสริมสร้างความแข็งแรงให้ชั้นผิว เมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณของสารสำคัญเหล่านี้จะค่อย ๆ ลดลง ทำให้ผิวเริ่มแห้ง สูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยได้ง่าย การเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ Natural Moisturizing Factors (NMFs) จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญในการเติมเต็มสิ่งที่ผิวขาด พร้อมช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาชุ่มชื้น ดูสุขภาพดีได้

มอยส์เจอร์ไรเซอร์สำคัญกับผิวอย่างไร?

มอยส์เจอร์ไรเซอร์สำคัญกับผิวอย่างไร?

มีความสำคัญอย่างมากในการช่วยทำให้ผิวนุ่มนวลอ่อนโยน เพราะมอยส์เจอร์ไรเซอร์เข้าไปเสริมการทำงานของน้ำมันตามธรรมชาติของผิว และช่วยดึงน้ำหล่อเลี้ยงใต้ผิวมาใช้ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนังชั้นนอก ทำให้ผิวนุ่มนวลน่าสัมผัส โดยทั่วไปมอยส์เจอร์ไรเซอร์จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ ปิโตรเลียมเจล (Petroleum Jelly) และสารเพิ่มความชุ่มชื้นฮิวเมกแทนท์ (Humectant) ซึ่งทำหน้าที่ในการช่วยให้ผิวหนังกักเก็บน้ำจากเนื้อเยื่อของผิวไว้ไม่ให้ระเหยเร็วเกินไป การเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว และเลือกชนิดที่มีสารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น กลีเซอริน (Glycerin), ยูเรีย (Urea), โซเดียมพีซีเอ (Sodium PCA) และกรดไฮอัลลูไรนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบ ช่วยเก็บกักน้ำใต้ผิว และลดการสูญเสียของน้ำตามธรรมชาติ ช่วยบำรุงผิวให้ดูสดใสมีชีวิตชีวา และมีแนวโน้มช่วยลดโอกาสการระคายเคืองผิวในหลายคน ทั้งนี้การตอบสนองของผิวอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เช่น ส่วนผสมกลุ่ม Panthenyl Triacetate and Naringenin หรือ Shiso Extract เป็นต้น นอกจากนี้ควรมีสารสกัดพิเศษ เช่น Phytosphingosine, ceramide complexes ที่เปรียบเสมือนเป็นการสร้างผิวหนังใหม่เพื่อมาปกป้องผิวอีกชั้นหนึ่ง เป็นต้น

คุณภาพของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากการมีส่วนผสมที่มีคุณประโยชน์ต่อผิว เช่น สารสกัดจากธรรมชาติกลุ่มวิตามินซี นอกจากใช้บำรุงผิวหน้าให้ขาวใสแล้ว ยังมีประสิทธิภาพสูงในการดูแลผิวพรรณได้เป็นอย่างดี เนื่องจากวิตามินซีมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ และยังเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจน (Collagen) ใต้ผิวหนังให้แข็งแรง

วิธีทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ได้ผลดี

วิธีทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ได้ผลดี

ควรทาขณะที่ผิวยังชุ่มชื้นอยู่ เช่น ภายหลังจากการอาบน้ำ เพราะเนื้อครีมจะซึมเข้าสู่ผิวได้ดี สามารถกักเก็บน้ำที่เกาะอยู่ตามผิวหนังชั้นนอกสุด ช่วยอุ้มน้ำไว้กับผิวหนังได้นานขึ้น ไม่ระเหยออกไป ทำให้ผิวคงความชุ่มชื้น สดใส ไม่แห้งตึง หรือเป็นขุย และขณะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ควรนวดผิวบริเวณที่ทาเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะบริเวณเข่าและส้นเท้า เพราะเป็นบริเวณที่ไม่มีต่อมน้ำมัน ผิวจึงแห้งกว่าบริเวณอื่น

ไม่ควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวกายมาทาใบหน้า เพราะอาจทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้ ส่วนมากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย มีส่วนประกอบของน้ำมัน เมื่อนำมาทาผิวหน้า อาจทำให้รูขุมขน เกิดการอุดตันจนเกิดเป็นสิวได้ง่าย เคล็ดลับสำคัญของการเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้ได้ผลดี อยู่ที่การเลือก มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ให้ตรงกับสภาพผิว

การเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

การเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับผิว

ผิวแพ้ง่าย (ผิวแห้งๆ มันๆ สลับกัน)

เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการทำหัตถการบางประเภท เช่น การลอกผิว การใช้ยาทาที่มีสารสเตียรอยด์ หรือสารที่ทำให้ผิวขาว รวมถึงยาทาฝ้าที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน ซึ่งอาจทำให้ผิวบางลง ไวต่อแสง และเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

แนวทางการดูแลและรักษามักเริ่มจากการลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง พร้อมกับฟื้นฟูสภาพผิวให้แข็งแรงขึ้น ทั้งจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และในบางกรณี อาจมีการดูแลเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่อย่างเหมาะสม โดยควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง

Moisturizer

ผิวแห้ง

มีลักษณะบอบบาง รูขุมขนเล็ก ผิวอ่อนแอกว่าผิวประเภทอื่น ๆ เพราะชั้นไขมันใต้หนังแท้ของผิวแห้งจะบาง ทำให้เกิดอาการแพ้จากมลภาวะแวดล้อม เครื่องสำอาง และน้ำมันได้ง่าย เมื่ออายุมากขึ้น น้ำมันและเหงื่อจะลดลง ระบบการหมุนเวียนของเลือดเริ่มเปลี่ยนไป ส่งผลให้การผลัดผิวช้าลงและการผลิตน้ำมันลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว เมื่อผิวแห้งควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันร้อน หรือการทำความสะอาดผิวบ่อย ๆ เพราะจะทำให้น้ำมันตามธรรมชาติของผิวลดลง

สำหรับผิวแห้งควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เข้มข้นกว่าปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังสูญเสียน้ำ และช่วยให้น้ำคงอยู่กับผิวหนังได้นานขึ้น ทำให้ผิวหนังไม่แห้ง นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยเหี่ยวย่นเล็ก ๆ ตื้น ๆ ที่ผิวหนังได้ หรือเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารแนทเชอรัล มอยส์เจอร์ไรซิ่ง แฟคเตอร์ และ ceramide complexes และควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในห้องแอร์ หรือ ในช่วงฤดูหนาวที่โอกาสแห้งกว่าปกติ เพราะผิวหน้ามักสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย

 
เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์

ผิวมันและผิวปกติ

สำหรับผู้ที่มีผิวมันควรเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของฮิวเมกแทนท์ (Humectant) เพราะซึมซาบเร็วและไม่ทำให้ผิวเหนียวเหนอะหนะ ความจริงแล้วผิวมันไม่ได้เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิว น้ำมันที่หลั่งออกมาจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังนั้น มีหน้าที่เคลือบผิวให้ดูสดใส แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเป็นเพราะคราบสกปรก ฝุ่นละออง และเครื่องสำอางที่ทำความสะอาดไม่หมดตกค้างอยู่ที่ผิว ผสมกับไขมัน ลงไปเกาะอยู่ในรูขุมขน ทำให้ผิวหนังอักเสบและเกิดสิว ส่วนผิวปกตินั้นมีน้ำมันเคลือบอยู่เล็กน้อย ดังนั้นผิวทั้งสองแบบจึงควรเลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดไร้ไขมัน (Oil free) อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณมีอายุเพิ่มขึ้น ส่วนประกอบเหล่านี้จะลดลง เกิดการสูญเสียน้ำตามธรรมชาติ ทำให้ผิวของคุณแห้ง การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนประกอบเหล่านี้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อทดแทนน้ำตามธรรมชาติที่สูญเสียไป

 

สรุป

การเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยดูแลผิวให้ชุ่มชื้น และลดโอกาสการระคายเคือง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวแพ้ง่าย ควรใส่ใจในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้น และหลีกเลี่ยงสารที่มักก่อการระคายเคือง เพื่อให้การดูแลผิวเหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน ทั้งนี้ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้ง ผิวมัน หรือผิวแพ้ง่าย ควรใส่ใจในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น Sodium PCA, Urea, Hyaluronic Acid และ Ceramides รวมถึงหลีกเลี่ยงสารระคายเคือง เช่น น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่และปลอดภัย

เขียนบทความโดย

นพ. วุฒินันท์ สิทธิผลวนิชกุล (Wutinan Sithipolvanichgul, M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39678

คำถามที่พบบ่อย: เลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์อย่างไรให้เหมาะกับผิว

มอยส์เจอร์ไรเซอร์สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว แต่ควรเลือกให้เหมาะกับผิวแต่ละแบบ เช่น ผิวแห้งเหมาะกับสูตรที่เนื้อเข้มข้นขึ้น ผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่ายเหมาะกับสูตรบางเบา ไม่มัน และไม่อุดตันรูขุมขน (เช่น oil-free หรือ non-comedogenic) ส่วนผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยงน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารที่ระคายเคืองผิว

เวลาที่เหมาะที่สุดคือหลังอาบน้ำหรือหลังล้างหน้าในขณะที่ผิวยังหมาดเล็กน้อย เพราะชั้นผิวยังมีน้ำอยู่ มอยส์เจอร์ไรเซอร์จึงช่วยกักเก็บน้ำใต้ผิวได้ดีขึ้น ทั้งสำหรับผิวหน้าและผิวกาย

มอยส์เจอร์ไรเซอร์ช่วยเติมความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียน อิ่มฟู และช่วยให้ริ้วรอยเล็ก ๆ ดูจางลงในเชิงภาพรวม แต่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยโดยตรง หากต้องการดูแลเรื่องริ้วรอยโดยเฉพาะ มักต้องใช้ร่วมกับสารกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน หรือสารกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ตามการประเมินของแพทย์

ยังจำเป็น เพราะผิวมันก็สามารถ “ขาดน้ำ” ได้ หากผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวอาจส่งสัญญาณให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้ดูมันกว่าเดิม การเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ซึมไว ไม่เหนอะ และไม่อุดตัน ช่วยให้ผิวสมดุลขึ้นได้

ผิวแห้งมักต้องการทั้ง “น้ำ” และ “ไขมันดี” เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำ แนะนำให้มองหาส่วนผสมกลุ่ม

  • Ceramides

  • Glycerin / Hyaluronic acid

  • น้ำมันบางชนิดที่เหมาะกับผิว
    เนื้อผลิตภัณฑ์มักเป็นครีม หรือบาล์มที่ให้ความชุ่มชื้นยาวนาน และควรทาซ้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังอาบน้ำ

สำหรับผิวแพ้ง่ายควรเน้นสูตรที่เรียบง่าย ส่วนผสมไม่ยาวเกินไป ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารที่มักก่อการระคายเคือง เลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ให้กลิ่นแรง หรือรู้สึกแสบหลังทาทันที ในกรณีที่เริ่มใช้ตัวใหม่ อาจทดสอบกับบริเวณเล็ก ๆ ก่อน เช่น ข้างกราม หรือหลังใบหู 2–3 วัน แล้วสังเกตว่ามีผื่นแดง คัน หรือลอกหรือไม่

โดยทั่วไปมักใช้หลัก “เนื้อบางก่อน เนื้อเข้มข้นตามหลัง”

  1. ล้างหน้า → 2) ทาเซรั่มหรือยาทาเนื้อเหลว → 3) ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
    กรณีที่มียาทารักษาสิวหรือยาบางชนิด ควรปฏิบัติตามลำดับที่แพทย์แนะนำเป็นพิเศษ

สำหรับผิวหน้า ปริมาณประมาณเท่าเมล็ดถั่ว 1–2 เมล็ด มักเพียงพอในการทาทั่วหน้าและลำคอ หากทาแล้วรู้สึกมันมาก เป็นคราบ หรือแห้งตึงหลังจากนั้นไม่นาน อาจต้องปรับทั้งปริมาณและชนิดของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวมากขึ้น

เช่น

  • ทาแล้วรู้สึกแสบ คัน หรือร้อนผิว

  • มีผื่นแดงหรือลอกมากขึ้น

  • สิวอุดตันหรือสิวอักเสบขึ้นชัดเจนหลังเริ่มใช้ไม่นาน
    หากพบอาการเหล่านี้ ควรหยุดใช้ชั่วคราวและสังเกตอาการ หากไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและส่วนผสมที่อาจไม่เหมาะ

ในบางคน ผิวอาจแห้งขึ้นในช่วงอากาศเย็นหรืออยู่ในห้องแอร์นาน ๆ ทำให้ต้องใช้สูตรเข้มข้นขึ้นชั่วคราว ขณะเดียวกัน เมื่ออายุมากขึ้นผิวมักสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายกว่าเดิม จึงอาจต้องปรับจากเนื้อเบาบางไปใช้สูตรที่ให้ความชุ่มชื้นมากกว่าเดิม การเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์จึงควรปรับตาม “สภาพผิวตอนนี้” ไม่ยึดติดกับสูตรเดิมเพียงอย่างเดียว

ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์หรือใช้แทนการพบแพทย์ หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพผิวหรือหนังศีรษะ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

สกินแคร์บนโต๊ะมีมอยส์เจอร์ไรเซอร์หลายตัว แต่ยังไม่แน่ใจว่าตัวไหนเหมาะกับผิวจริง ๆ สามารถปรึกษาได้ที่