Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
ผิวแห้งในผู้สูงวัย

การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังในผู้สูงวัย

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังทุกชั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ความสามารถในการหมุนเวียนทดแทนผิวหนังเก่าจะลดลง เดิมผิวหนังชั้นหนังกำพร้าจะมีการหลุดลอกและ เปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดในเวลาเพียง 4 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น วงจรนี้จะยาวออกเป็น 2 เท่า ทำให้ผิวหนังผู้สูงวัยมีลักษณะแห้ง เป็นขุย มีสะเก็ด และหยาบ ดังนั้น ความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังจะช่วยให้ดูแลผิวพรรณได้เหมาะสมมากขึ้น และอาจช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว รวมทั้งลดโอกาสการเกิดปัญหาบางอย่าง

ผิวแห้งในผู้สูงวัย

ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis)

มีความหนา 50–100 ไมครอน (ภาพที่ 1.1, 1.2) ประกอบด้วยเซลล์ผิวหนัง เซลล์สร้างสี และเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีโปรตีน น้ำ และไขมัน เป็นส่วนประกอบอีกด้วย ไขมันสำคัญที่มีหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื้นที่ผิวหนังคือ ceramide (เซรามายด์) เป็นส่วนประกอบหลักร่วมกับกรดไขมัน และ cholesterol (คอเลสเทอรอล) เมื่ออายุเพิ่มขึ้นจะมีการลดลงของการหมุนเวียนและผลัดเปลี่ยนผิวหนัง ลดความสามารถ ในการสร้างสี และการป้องกันเชื้อโรค รวมทั้งความสามารถในการเก็บน้ำไว้ที่ผิวหนัง ผิวหนังกำพร้าจะบางลงมากถึง 50% ระหว่างอายุ 30–80 ปี เฉลี่ยประมาณ 5–6% ต่อปี และจะบางลงมาก เป็นพิเศษบริเวณผิวหนังที่ถูกแสงแดดสม่ำเสมอ เช่น ใบหน้า คอ หลังมือ และแขนด้านนอก (ภาพที่ 2.1, 2.2)

ผิวเหี่ยวย่น

ชั้นหนังแท้ (Dermis)

มีความหนาประมาณ 2–3 มม. ส่วนประกอบหลักคือคอลลาเจน รองลงมาคือเส้นใยอิลาสติน และสาร hyaluronic acid ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดูดซับน้ำไว้ในชั้นหนังแท้ สารเหล่านี้ล้วนทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น เต่งตึง และมีความยืดหยุ่นที่ดี นอกจากนี้ ในชั้นหนังแท้ยังประกอบด้วยต่อมเหงื่อ ทำหน้าที่สร้างและขับน้ำออกจากร่างกายเพื่อ ปรับอุณหภูมิ และต่อมไขมันทำหน้าที่ขับไขมันออกมาปกป้องผิว ปลายเส้นประสาทและปลายของ หลอดเลือดแดงและท่อน้ำเหลืองอยู่ภายในชั้นหนังแท้ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงผิวหนัง

เมื่อเข้าสู่วัยชรา ชั้นหนังแท้จะบางลงเส้นใยที่ประสานกันอยู่จะขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผิวหนังเกิดรอยเหี่ยวย่น ต่อมเหงื่อจะมีจำนวนลดลงและเสื่อมประสิทธิภาพ จึงขับเหงื่อ ออกจากร่างกายได้น้อย ทำให้ทนต่ออากาศร้อนได้น้อยลง ต่อมไขมันทำงานน้อยลง ผิวหนังจึง แห้งและเป็นขุยง่าย  ส่วนปลายประสาทรับความรู้สึกก็จะทำงานลดลงเช่นกัน

วิธีดูแลผิวในผู้สูงวัยให้ดูสุขภาพดี

  • ใช้ครีมมอยเจอร์ไรเซอร์ที่อ่อนโยนและมีส่วนประกอบที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เช่น ceramide หรือ hyaluronic acid
  • หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีสารชะล้างแรง ควรเลือกสบู่สูตรอ่อนโยนหรือปราศจากฟอง
  • ดื่มน้ำเพียงพอในแต่ละวัน
  • ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป
  • ปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากพบผื่น แผล หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ

สรุป

ผิวในผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงทั้งชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ ส่งผลให้ผิวบางลง แห้งง่าย และเหี่ยวย่น การดูแลผิว และดูแลผิวหน้าที่เหมาะสมในวัยนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นและดูแลสุขภาพผิวให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน

บทความโดย : สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
 Dermatological Society of Thailand
http://dst.or.th/html/index.php?op=article-detail&id=1121&csid=50&cid=23#.WDQrDbKLSUk

เขียนบทความโดย

นพ. วุฒินันท์ สิทธิผลวนิชกุล (Wutinan Sithipolvanichgul, M.D.)
แพทย์ประจำ BSL Clinic เลขว. 39678

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผิวแห้งในผู้สูงวัย

เมื่ออายุมากขึ้น ต่อมไขมันและต่อมเหงื่อจะทำงานลดลง ผิวจึงสูญเสียไขมันตามธรรมชาติที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไปทีละน้อย นอกจากนี้ ความสามารถของผิวในการผลัดเซลล์และซ่อมแซมตัวเองก็ลดลงด้วย จึงทำให้ผิวแห้ง ลอกเป็นขุย และระคายเคืองง่าย โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น ใบหน้า มือ และแขน

แนะนำให้หลีกเลี่ยงครีมบำรุงทั่วไปที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารระคายเคืองอื่น ๆ เพราะผิวผู้สูงอายุมักบอบบางและแพ้ง่ายขึ้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เน้นให้ความชุ่มชื้นและช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว เช่น

  • Ceramide ช่วยเสริมชั้นปกป้องผิว

  • Urea ในความเข้มข้นที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแห้งแตก

  • Hyaluronic Acid ช่วยเก็บน้ำไว้ในผิว

  • Allantoin หรือ Panthenol ช่วยปลอบประโลมผิวที่แดง คัน หรือระคายเคือง
    ควรทาครีมหลังอาบน้ำภายในประมาณ 5 นาที ขณะที่ผิวยังหมาด ๆ เพื่อช่วยล็อกความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น

ผิวบางลงอาจเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงตามวัย แต่มีข้อควรระวังคือ ผิวจะบาดเจ็บได้ง่ายกว่าเดิม แค่ถูแรงหรือเกาเบา ๆ ก็อาจเกิดแผลถลอก รอยช้ำ หรือผิวอักเสบได้ และในบางรายเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น แนวทางดูแล เช่น

  • หลีกเลี่ยงการขัด ถู หรือสครับผิวแรง ๆ

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและครีมบำรุงที่อ่อนโยน

  • หากมีรอยช้ำบ่อย ติดเชื้อง่าย หรือแผลหายช้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินเพิ่มเติม

แนะนำให้อาบน้ำด้วยน้ำอุณหภูมิอุ่น ไม่ร้อนจัด และไม่ควรอาบน้ำนานเกินไป เลี่ยงสบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีฟองมากหรือมีน้ำหอมแรง ๆ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่ดึงน้ำมันธรรมชาติบนผิวออกมากเกินไป หลังซับตัวให้แห้งเบา ๆ ให้ทามอยส์เจอไรเซอร์ทันที

ผิวแห้งมักมาพร้อมอาการคัน โดยเฉพาะช่วงอากาศเย็น แห้ง หรือหลังอาบน้ำ หากคันมากจนต้องเกาบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวถลอกและเกิดการติดเชื้อได้ ควรเน้นการทาครีมบำรุงให้สม่ำเสมอ ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระคายเคือง เช่น ผ้าฝ้าย และตัดเล็บให้สั้นเพื่อลดการเกาแรง ถ้ามีผื่นแดง น้ำเหลือง หรือคันรุนแรงควรให้แพทย์ช่วยประเมิน

ในบางคน ผิวแห้งอาจเกี่ยวข้องกับโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคไต หรือภาวะต่อมไทรอยด์ รวมถึงยาบางกลุ่มที่มีผลให้ผิวสูญเสียน้ำได้ง่าย หากผิวแห้งมากผิดปกติ เริ่มแตกเป็นแผล หรือมีอาการผิดปกติร่วมกับอาการทางร่างกายอื่น ควรแจ้งรายชื่อยาทั้งหมดและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบเพื่อตรวจประเมินภาพรวม

แม้ผู้สูงวัยบางคนจะไม่ได้ออกแดดจัดเป็นเวลานาน แต่แสงแดดอ่อน ๆ ในชีวิตประจำวันหรือแสงผ่านกระจกก็มีผลต่อผิวได้ โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า มือ และแขน การใช้ครีมกันแดดที่อ่อนโยนเหมาะกับผิวแห้งและผิวบอบบางในตอนเช้า ร่วมกับการใส่เสื้อผ้าปกป้องผิว ช่วยลดโอกาสผิวเสียสะสมและจุดด่างดำในระยะยาว

ผู้ดูแลสามารถช่วยสังเกตได้จาก

  • ผิวลอกเป็นขุยชัดเจน โดยเฉพาะที่แขน ขา และหน้าแข้ง

  • มีรอยเกา รอยถลอก หรือรอยช้ำง่าย

  • ผู้สูงวัยบ่นคันบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือหลังอาบน้ำ
    หากพบว่าผิวเริ่มแตกเป็นแผล มีสะเก็ดหนา น้ำเหลือง หรือบวมแดง ควรรีบพาไปพบแพทย์

ในช่วงอากาศแห้งควรเน้น

  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์บ่อยขึ้น โดยเฉพาะหลังอาบน้ำและก่อนนอน

  • ลดการเปิดแอร์แรงหรือโดนลมเย็นโดยตรงนาน ๆ

  • เลือกเสื้อผ้าที่ไม่เสียดสีกับผิวมากเกินไป

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน (ถ้าไม่มีข้อจำกัดด้านน้ำดื่มจากโรคประจำตัว)

ควรพิจารณาไปพบแพทย์เมื่อ

  • ผิวแห้งมากจนแตกเป็นแผล หรือมีเลือดซึม

  • มีผื่นแดง คันมาก หรือเริ่มมีน้ำเหลือง

  • มีรอยช้ำบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ

  • ใช้ครีมบำรุงต่อเนื่องแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้น
    การตรวจจะช่วยแยกว่าผิวแห้งเกิดจากอายุและสภาพผิวเพียงอย่างเดียว หรือเกี่ยวข้องกับโรคอื่นร่วมด้วย

ข้อมูลนี้จัดทำเพื่อให้ความรู้ทั่วไป ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์หรือใช้แทนการพบแพทย์ หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพผิวหรือหนังศีรษะ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

หากมีผิวแห้งมาก คันบ่อย หรือเริ่มมีแผลถลอกจากการเกา สามารถส่งรูปปรึกษาได้ที่